1. ปะแบบสตรีม หรือปะด้วยความร้อน: การปะวิธีนี้ ต้องถอดยางออก และปะรอยรั่วจากด้านในของตัวยาก โดยใช้วัสดุเฉพาะที่เป็นยางแผนชิ้นขนาดประมานกล่องไม้ขีดพญานาค บางประมาณ 3 มม. ที่ด้านหลังมีตัวทำละลายความร้อนติดอยู่ การปะแบบนี้ ต้องถอดยางออก หารูรั่ว จากนั้นเอากระดาษทราบขัดผิวรอบรูรั่วด้านใน เอากาวยางปะยางทาง แล้วเอาวัสดุปะ นี้ปะลงไปจากนั้นกดด้วยเครื่องกดความร้อน วัสดุปะจะละลายหลอมเชื่อมกับเนื้อยางด้านในเป็นอันเสร็จ วีธีนี้ใช้มานานกว่า 10 ปีแล้วในเมืองไทย

เหมาะสำหรับ: การปะเพื่อซ่อมรอยตะปู รอยขาดแบบฉีกแบนขนาดไม่ใหญ่กว่าเหรียญ 10

คุณลักษณะ: กันลมซึมได้ดี เพราะเป็นการปะจากยางชั้นใน มีความคงทนมากกว่า 5 ปี รับแรงอัดได้ดี

ข้อเสีย: ไม่ได้ซ่อมปากแผลด้านนอก ใช้เวลาในการปะนาน และต้องถ่วงล้อใหม่ หลังจากปะเสร็จ หากยางมีความร้อนสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้รอยปะหลุดร่อน เนื่องจากยางที่ปะกับเนื้อยางของล้อ ไม่ได้หลอมเป็นชินเดียวกันจริงๆ

ราคา: 150-200 บาทต่อแผล

2.ปะเย็น คล้ายการปะแบบสตรีม : แต่เกิดขึ้นในส่วนของร้านที่ไม่มีเครื่องปะความร้อน หรือมีแต่ไม่ได้ใช้ก็แล้วแต่ โดยจะใช้ยางในรถ จยย. เป็นวัสดุปะ แรกต้องขัดผิวด้านในยางเพื่อทำความสะอาดและสร้างผิวที่เหมาะแก่การยึดกาว โดยขัดผิวด้วยกระดาษทราบ จากนั้นขัดชิ้นยางในที่มีขนาดเหมาะสมกับรูรั่วโดยตัดให้ใหญ่กว่าสักประมาณ 1 นิ้ว เมื่อขัดผิวของทั้งสอง แล้วทากาวยางรอประมาณ 3 นาทีพอให้กาวแห้ง จากนั้นเอามาประกบ และเอาค้อนทุบเบาๆ เพื่อไล่อากาศและทำให้กาวยึดผิวของวัสดุทั้งสองให้แน่นยิ่งขึ้น

เหมาะสำหรับ: การปะเพื่อซ่อมรอยตะปู รอยขาดแบบฉีกแบนขนาดไม่ใหญ่กว่าเหรียญห้าสิบสตางค์ เหมาะกับมอไซค์

คุณลักษณะ: กันลมซึมได้ดี เพราะเป็นการปะจากยางชั้นใน มีความคงทนไม่มาก 2-3 ปีก็จะหลุด รับแรงอัดมากไม่ได้

ข้อเสีย: ไม่ได้ซ่อมปากแผลด้านนอก ใช้เวลาในการปะนาน และต้องถ่วงล้อใหม่ หลังจากปะเสร็จ หากยางมีความร้อนสูงอาจทำให้รอยปะหลุดร่อน เนื่องจากยางที่ปะกับเนื้อยางของล้อ ไม่ได้หลอมเป็นชินเดียว เพียงประสานด้วยกาวเท่านั้น

ราคา: 70-100 บาทต่อแผล