รถมือสอง rodweekly.com

ยิ่งใหญ่ อลังการ กับ“นิสสัน 360”งานโชว์ศักยภาพของแบรนด์นิสสันที่ 4-5 ปีจะจัดขึ้นสักครั้งครับ อย่างปีนี้นับว่าพิเศษเพราะถือเป็นการฉลองการดำเนินธุรกิจครบ 80 ปีของนิสสัน

...หากพูดถึงธุรกิจในภาพใหญ่ของ “นิสสัน”คงต้องพ่วง “เรโนลต์” รถยนต์สัญชาติฝรั่งเศสที่เป็นพันธมิตรถือหุ้นแบ่งปันผลกำไรกันมา แต่ถ้าแยกเฉพาะแบรนด์นิสสัน (ที่มียอดขายสูงกว่าเรโนลต์เป็นเท่าตัว) ปัจจุบันมีแบรนด์ในเครืออย่าง “อินฟินิตี้” ซึ่งเป็นรถหรูที่ขายดีในสหรัฐอเมริกา และล่าสุดกับการนำชื่อ“ดัทสัน” มาสร้างแบรนด์ใหม่ หวังเจาะตลาดรถราคาประหยัด

นิสสัน 360 เป็นงานระดับโลก ปีนี้จัดช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนที่สนาม “เอล โทโร” ซึ่งเดิมเป็นฐานทัพอากาศตั้งอยู่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เห็นว่าตลอดอีเวนต์(จัดหลายทริป)เชิญนักข่าวและผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจของนิสสัน อย่างซัพพลายเออร์ ดีลเลอร์ รวมกว่า 1,000 คนทั่วโลก

โดยผู้ที่เข้าร่วมงานจะได้รับรู้เรื่องราวของนิสสันในทุกมิติ ทั้งซึมซับอดีตอันยิ่งใหญ่ ความสำร็จของโปรดักต์ที่ผ่านๆมา รวมถึงพูดคุยแนวทางที่นิสสันกำลังจะมุ่งไปในอนาคต ผ่านพรีเซนเทชัน และสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับบิ๊กของนิสสันแบบใกล้ชิด

ขณะเดียวกันยังมีโอกาสได้ขับรถยนต์นิสสันและอินฟินิตี้หลายรุ่น หรือนับรวมกว่า 130 คัน บน 7 แทรคทดสอบ ทั้งขับทางเรียบในสนาม เอล โทโร ซึ่งแบ่งเป็นคอร์สปกติ และคอร์สการขับขี่สมรรถนะสูง รวมถึงขับทางฝุ่นแบบออฟโรด ตลอดจนขับออกไปเปิดประสบการณ์บนถนนจริงนอกสนามเอลโทโร....คลิกอ่าน บุกอเมริกาสัมผัส“เทียน่า ใหม่”ก่อนเปิดตัวในไทย

คาร์ลอส กอส์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสัน บอกว่า นิสสันภูมิใจเสนอเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจ รวมถึงเป็นยานยนต์รักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเหล่านี้จะตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี

“งานนิสสัน 360 จะเป็นการฉลองและส่งสัญญาณไปในหลายๆภาคส่วน ขณะที่นิสสันจะพัฒนาธุรกิจและเจริญเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก”

...นั่นเป็นคำหวานจากประธานคนเก่งของนิสสัน แต่กระนั้นพันธกิจสวยหรูคงต้องมาพร้อมยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นด้วย อย่างในอาเซียน นิสสันตั้งธงเอาไว้ว่าภายในปี 2016 จะต้องเพิ่มยอดขายรถยนต์เป็น 500,000 คันต่อปี ครองส่วนแบ่งการตลาด 15% อันสอดคล้องกับกำลังการผลิตที่วางไว้ 700,000 คันต่อปี ซึ่งประเทศไทยนับว่ามีบทบาทในฐานะเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาคนี้

เพื่อบรรลุเป้าประสงค์ดังกล่าว นิสสันเตรียมระดมเครื่องมือมากมาย อย่างในประเทศไทย นิสสันเพิ่งลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท สร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งที่สอง(ใกล้กับโรงงานเดิม บางนา กม. 22) รองรับการผลิตปิกอัพโมเดลใหม่ คาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินเดือนสิงหาคมปีหน้า อันจะส่งผลให้กำลังการผลิตรวมของนิสสันในประเทศไทยเพิ่มได้ถึง 3.7 แสนคันต่อปี มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

เช่นเดียวกับประเทศอินโดนีเซีย นิสสันก็วางให้เป็นอีกหนึ่งจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะนอกจากจะผลิตและทำตลาดรถยนต์นิสสันแล้ว ยังมีรถแบรนด์ใหม่อย่าง “ดัทสัน” เป็นทีเด็ด โดยนิสสันหวังว่าภายใน 3 ปี จะเพิ่มกำลังผลิตรถยนต์ทั้งสองยี่ห้อเป็น 2.5 แสนคัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 15%

สำหรับแบรนด์“ดัทสัน” จะประเดิมทำตลาดใน 4 ประเทศคือ อินโดนีเซีย อินเดีย รัสเซีย แอฟริกาใต้ ด้วยรถเล็กราคาประหยัดรุ่น “โก” (GO) ตัวถังแฮทช์แบ็ก และล่าสุดเพิ่งเผยโฉมตัวถังMPV รุ่น “โก พลัส” (GO+) พร้อมขายจริงกลางปีหน้า ด้วยราคาไม่ถึง 3 แสนบาท

ด้วยเป้าหมายทางธุรกิจต่างๆที่นิสสันวางไว้ แน่นอนว่ามาจากยอดขายรถยนต์แบบเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นหลัก แต่ในส่วนของยานยนต์อนาคตนิสสันได้เตรียมแผนปูทางเอาไว้พอสมควร อย่างรถที่เรารู้จักกันดีรุ่น “นิสสัน ลีฟ” รถพลังงานไฟฟ้า (EV) ที่ตอนนี้มีทำตลาดอย่างเป็นทางการใน 17 ประเทศทั่วโลก พร้อมทำยอดขายสะสมกว่า 75,000 คัน นับเป็นรถEV ที่มียอดขายสูงสุดในโลก

อย่างไรก็ตามในงาน“นิสสัน 360” นิสสันยังโชว์ความเหนือชั้นด้วยการนำ “นิสสัน ลีฟ” มาเป็นต้นแบบในการพัฒนาเทคโนโลยีรถอัจฉริยะ “ออโตโนมัส ไดรฟ์วิง” (Autonomous Driving)

นิสสันบอกว่า สามารถสร้างนิสสัน ลีฟ ที่เป็นรถแบบZero Emission ไร้มลพิษได้ แล้วทำไมจะสร้าง รถแบบZero Fatalitiesที่ช่วยลดอุบัติเหตุหรือความตายเป็นศูนย์บ้างไม่ได้ จึงเป็นที่มาของเทคโนโลยี “ออโตโนมัส ไดรฟ์วิง” รถอัจฉริยะที่ขับขี่และตัดสินใจแทนคนขับได้

สำหรับคำว่า“ขับขี่เอง” ของ“ออโตโนมัส” ครอบคลุมความสามารถทั้ง ขับโดยใช้ความเร็วตามป้ายที่กฎหมายกำหนด ตลอดจนเร่งแซงรถคันหน้า หยุดตามสัญญาณไฟ(แดง) ออกตัว หรือเลี้ยวและหักหลบกะทันหันเมื่อมีวัตถุตัดหน้า รวมถึงการให้รถวิ่งหาที่จอดเอง (ลานจอดตามห้าง สำนักงาน ออฟฟิศ) แล้ววนกลับมารับเมื่อเจ้าของเสร็จภารกิจ

โดยระบบ“ออโตโนมัส” จะติดตั้งสแกนเนอร์ เซ็นเซอร์ เรดาร์ และกล้องความเร็วสูง รอบตัวรถ เพื่อคอยเก็บข้อมูล แล้วนำมาประมวลผลในการขับขี่ จากนั้นตัดสินใจแทนผู้ขับได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเร็วกว่าการตัดสินใจของคนที่บางครั้งก็มีข้อจำกัด

แอนดี้ พาล์มเมอร์ รองประธานบริหาร นิสสัน มอเตอร์ บอกว่า นิสสันเตรียมเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติภายในปี 2020 และภายใน 2 วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ จะมีเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติในยานยนต์ทุกรุ่น ซึ่งเป็นการสร้างและต่อยอด 2 เสาหลักที่สำคัญของนิสสัน มอเตอร์ นั่นก็คือการสร้างยานยนต์ไร้มลภาวะ (Zero Emissions) และเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ลดอัตราการตายให้เป็นศูนย์ (Zero Fatalities)

อย่างระบบเตือนให้รักษาตำแหน่งรถในช่องทาง (Lane Departure Warning: LDW) และระบบหยุดรถฉุกเฉิน (Emergency Stop) เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ เช่นเดียวกับกลไกอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่กับพวงมาลัย ปีกผีเสื้อ ระบบเบรก และเกียร์ รวมถึงกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Around View Monitor: AVM) และเซนเซอร์ของระบบหยุดรถฉุกเฉิน เมื่อผสานการทำงานของเทคโนโลยีทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว ก็เหลือเพียงสมองที่ต้องใส่เพิ่มเข้าไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุด อย่างไรก็ตามนิสสันตั้งเป้าหมายสร้างสมองอัจฉริยะแบบนี้ให้ได้ภายในปี 2020 ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่จะอนุญาตให้เราสามารถนำเทคโนโลยีนี้ออกมาใช้งานได้

“มันยากที่จะจินตนาการได้ในชั่วข้ามคืน แต่อันที่จริงคุณได้เห็นก้าวแรกๆของเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติมานานแล้ว อย่างเช่นระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อค ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการที่กลไกเครื่องจักรมีอำนาจเหนือการควบคุมของมนุษย์ และอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ระบบควบคุมการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Drive By Wire) ซึ่งเป็นรากฐานของเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติเช่นกัน” พาล์มเมอร์ กล่าว

...นั่นเป็นส่วนหนึ่งของงาน “นิสสัน 360” ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนิสสันในหลายมิติ เช่นเดียวกับเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆที่จะไม่เป็นเพียงแค่จินตนาการอีกต่อไป เพราะไม่ช้าก็เร็ว เราๆท่านๆน่าจะมีโอกาสได้สัมผัสในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าจะได้ประสบใช้ทางตรงหรือทางอ้อม รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เท่านั้นเอง

ข่าวสารยานยนต์