"บีเอ็มฯ" เล็งขยายไลน์ผลิตโรงงานแห่งใหม่ ส่งไทยขึ้นชั้นฐานการผลิตที่สำคัญภูมิภาค ชูความหลากหลาย ผลิตรถ 3 แบรนด์ บีเอ็มฯ, มินิ, มอเตอร์ไซค์ ย้ำ 3 ปี ผลิตถึง 10 โมเดล ปีนี้ดึงอีก 3 รุ่นประกอบ หวังเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทั้งซีรีส์ 1, 3 และเอ็กซ์ 5 เชื่อปีนี้ตลาดรวมขายถึง 2 หมื่นคัน
นายแมทธิอัส พฟาลซ์ ประธานบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความสำเร็จของบีเอ็มฯในประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ขณะนี้โรงงานของบีเอ็มฯในประเทศไทยถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง เป็นโรงงานแห่งแรกที่มีความหลากหลายด้านการผลิต สามารถผลิตรถได้ถึง 3 แบรนด์ คือบีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์
บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดโดยปีที่ผ่านมา โรงงานบีเอ็มฯมีกำลังผลิตทั้งสิ้น 8,663 คัน แบ่งเป็นรถมินิ 380 คัน และบีเอ็มดับเบิลยู 3,283 คัน ส่วนปีนี้จะเริ่มผลิตรถจักรยารยนต์ขนาดใหญ่ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด F800R โดยได้เริ่มผลิตไปแล้วเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
และจากความหลากหลายและการเติบโตของกำลังการผลิต ทำให้ขณะนี้บริษัทและบริษัทแม่ได้หารือร่วมกัน เพื่อศึกษาในเชิงเทคนิคถึงความเป็นไปได้ในการขึ้นไลน์ประกอบเพิ่มขึ้นอีก 1 ไลน์ และกำลังมองการขยายพื้นที่ ซึ่งบริเวณโรงงานเดิมที่ จ.ระยองเองยังมีพื้นที่ให้ขยายเพิ่มเติม
เพียงแต่การตัดสินใจลงทุนตั้งไลน์ผลิตใหม่นั้นอาจจะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนจำนวนมหาศาล ดังนั้น บริษัทจึงพยายามมองหาวิธีการเพิ่มกำลังผลิตให้ได้คุณภาพและประสิทธิภาพมากที่สุด
"ตอนนี้โรงงานของเราที่ระยองถือเป็นโรงงานเดียวของบีเอ็มฯที่มีความสามารถในการผลิตรถยนต์ได้หลากหลาย และจะเห็นว่าภายในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เดิมเราผลิตรถเพียงแค่ 2 รุ่น แต่ปัจจุบันจากความสามารถของโรงงานและแรงงานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้วันนี้เรามีการผลิตรถยนต์เพิ่มเป็น 10 รุ่นนั้น ถือเป็นเครื่องการันตีได้ถึงศักยภาพของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี"
ด้านแผนการผลิตนั้น หลังจากในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โรงงานเริ่มผลิตรถจักรยานยนต์ F800R แล้ว เร็ว ๆ นี้จะมีการผลิตซีรีส์ 1 รุ่น BMW 116 i ราคา 1.749 ล้านบาท และ 116 i M Sport ราคา 1.999 ล้านบาท ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์โชว์เดือนมีนาคมนี้
และจะมีการส่งรถซีรีส์ 3 GT ประกอบในประเทศ คาดว่าจะเปิดตัวได้ราวปลายไตรมาสที่ 2 และอีกรุ่นคือเอ็กซ์-5 ประกอบในประเทศ โดยจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง
ด้านผลประกอบการในปีที่ผ่านมานั้น บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มียอดขายทั้งสิ้น 8,147 คัน (บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ) มีการเติบโต 33% เทียบกับปีก่อน และยังสามารถสร้างสถิติยอดขายเพิ่มสูงสุดเป็นอันดับ 2 เมื่อเทียบกับบีเอ็มฯในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกโดยยอดขายปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นบีเอ็มฯ 7,536 คัน โต 34% มินิ จำนวน 611 คัน โต 22% บีเอ็มฯ มอเตอร์ราด จำนวน 400 คัน โต 38% ในปีที่ผ่านมา ถือเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมของตลาดจะไม่ปกติ แต่บริษัทสามารถมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น และเป็นยอดขายสูงสุดของบริษัท นับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยบีเอ็มฯมียอดขายเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายในระยะเวลาแค่ 4 ปี และมีการเติบโตสูงกว่า 20% ยาวต่อเนื่องถึง 6 ปี
ส่วนปีนี้คาดว่าบริษัทจะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดรวมคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 คัน จากปีที่แล้วทำได้ 18,800 คัน จากรถยนต์ 4 แบรนด์หลัก คือเมเซอร์เดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และเลกซัส
แม้ว่าตลาดรถยนต์โดยรวมจะมีทิศทางการเติบโตลดลง โดยเดือนมกราคมปีนี้เทียบกับปีก่อนลดลงไปถึง 50% ขณะที่ตลาดรถพรีเมี่ยมลดลง 5% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ได้รับผลกระทบไม่มากนักสำหรับตลาดพรีเมี่ยม และบีเอ็มฯเชื่อว่าลูกค้าในกลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองแต่อย่างใด โดยทั้งปียอดขายโดยรวมน่าจะเติบโตไปแตะระดับ 20,000 คันได้อย่างแน่นอน
"ตอนนี้สถานการณ์การดำเนินงานของบริษัทยังคงเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ธุรกิจยังคงเดินได้ แต่หากจะมีความมั่นคงและความแน่นอน ก็คือเป็นสิ่งที่ดี หากสถานการณ์ต่าง ๆ จบลงได้เร็ว จะยิ่งดีต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวม"
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยจะเปิดตัวแทนจำหน่ายรายใหม่
"ณัฐ บาวาเรียน มอเตอร์" จ.อุดรธานี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแถบภาคอีสาน รวมทั้งเปิดศูนย์บริการ 2 แห่งในกรุงเทพฯ คือ "ยุโรปา มอเตอร์" พระราม 2 และ "เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส" จรัญสนิทวงศ์