จะเรียกว่าผ่านพ้นวิกฤตแล้วสำหรับตลาดรถยนต์ไทยก็คงไม่ผิด หลังจากที่ปักหัวดิ่งลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว วันนี้ปัญหาความขัดแย้งด้านการเมืองเริ่มคลี่คลาย การขับเคลื่อนธุรกิจกำลังพร้อมทะยานไปข้างหน้า ลองไปฟังความเห็นจาก "ฮิโรชิ นาคางาวะ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ค่ายรถปิกอัพอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ฉายภาพถึงทิศทางตลาดรถยนต์ต่อจากนี้
- การปรับตัวหลังตลาดหดตัว
ตอนนี้ทุกค่ายก็ไม่ได้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น เพราะตลาดในประเทศอาจจะสะดุดไปบ้าง ทำให้ต้องมาเน้นการส่งออก ตลาดส่งออกของทุกค่ายน่าจะดีขึ้น สำหรับอีซูซุ เรามีการส่งออกในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ส่วนภาพรวมของตลาดส่งออก เรามีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งตะวันออกกลาง อเมริกากลาง อเมริกาใต้ ยุโรปก็ดีขึ้น ลูกค้ายุโรปเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น และเราจะขยายตลาดส่งออกเพิ่ม เริ่มเปิดตลาดในออสเตรเลีย-อาเซียน และก็มีแผนจะส่งมิว-เอ็กซ์ไปจำหน่ายทั้งในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียด้วย ส่วนตลาดในประเทศที่ผ่านมา ค่ายรถยนต์อาจประสบปัญหาเรื่องการซื้อของลูกค้า ที่แม้จะมีความต้องการซื้อ แต่ไฟแนนซ์เพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ส่วนอีซูซุมีลีสซิ่งของเราเอง เลยไม่มีปัญหาตรงนี้ และลูกค้าของเรามีกำลังซื้อสูง เป็นลูกค้าชั้นดี ลีสซิ่งที่อื่นอาจจะต้องเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น แต่อีซูซุ ลีสซิ่ง เงื่อนไขต่าง ๆ ของเรายังเหมือนเดิม ส่วนด้านกำลังผลิตรวมทั้งโรงงานที่สำโรงกับเกตเวย์อยู่ที่ 4 แสนคันต่อปี ตอนนี้เรารันการผลิตอยู่ที่ 300,000 คันต่อปี
- มองตลาดครึ่งปีหลังอย่างไร
ตลาดรถยนต์คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 น่าจะฟื้นตัวขึ้น จากปัจจัยบวกหลายด้าน ทั้งความมั่นใจของผู้บริโภค ต่อทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และภาคการเมืองที่มีความชัดเจน มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ออกมา การจ่ายเงินรับจำนำข้าวให้ชาวนา ก็ช่วยกระตุ้นตลาดได้อีกทาง แต่ก็ยังมีปัจจัยลบอยู่บ้าง คือราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังไม่ปรับตัวดีขึ้น และแม้ตลาดจะเริ่มฟื้น แต่ก็เป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้การแข่งขันของตลาดจะยังคงรุนแรงอยู่ ทุกค่ายก็ต้องมีการกระตุ้นตลาดเพื่อให้ยอดขายเป็นไปตามเป้า แต่อีซูซุเอง ที่ผ่านมา เราก็ไม่ได้เน้นในด้านการแข่งขันเรื่องแคมเปญมากนัก กลุ่มที่จะเห็นการฟื้นตัวได้ชัดคือรถบรรทุก แนวโน้มตลาดรถบรรทุกดีขึ้น หลังจาก คสช.มีการอนุมัติโครงการลงทุนต่าง ๆ ปีนี้ตลาดรถบรรทุกน่าจะอยู่ที่ 30,000 คัน จากในปีที่ผ่านมาที่ 40,000 คัน ห้าเดือนแรกที่ผ่านมา ตลาดรวมอยู่ที่ 10,000 คัน อีซูซุตั้งเป้าว่าจะต้องมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 50% เท่ากับปีที่ผ่านมา หรือจำนวนยอดขายรถบรรทุกปีนี้ที่ 14,000-15,000 คัน ซึ่งเราก็คุยกับทางโรงงานตลอด มีการบริหารจัดการสต๊อกที่เหมาะสมกับความต้องการ เลยไม่ประสบปัญหาด้านโอเวอร์สต๊อก ปีหน้าตลาดรถบรรทุกก็น่าจะมีโอกาสเติบโตชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนตลาดรถยนต์รวมก็น่าจะมียอดขายเกิน 1 ล้านคันอย่างแน่นอน - ต้องปรับเป้ายอดขายตามสภาพตลาดหรือไม่ ช่วงต้นปีเราประเมินสภาพตลาดไว้ว่าน่าจะมียอดจำหน่ายรวม 1.1 ล้านคัน แต่จากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อผ่านไปครึ่งปี เลยคาดว่าตลาดรวมน่าจะปรับลดมาที่ 1 ล้านคัน ขณะที่อีซูซุเองยังตั้งเป้ายอดขายไว้ไม่เปลี่ยนแปลงคือส่วนแบ่งตลาดประมาณ 35% จากตลาดรวมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1 ล้านคัน หรือบวกลบเล็กน้อย เนื่องจากแม้ตลาดรวมจะหดตัวลง แต่เฉพาะกลุ่มรถปิกอัพยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ด้วยสัดส่วนยอดขายรถปิกอัพที่คาดว่ามียอดขาย 4.5 แสนคัน และรถยนต์นั่งอีก 5.5 แสนคัน
- ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจกระทบการส่งออก
เราไม่ได้กังวลมากนัก เพราะที่ผ่านมา ทั้งยุโรปหรือสหรัฐอาจจะมองดูภาพลักษณ์ของประเทศไทยในแบบหนึ่ง แต่สำหรับอีซูซุในฐานะนักลงทุนญี่ปุ่นที่ทำงานในไทยมานาน เราทราบว่าความเป็นจริง ไม่ได้เป็นเหมือนในภาพที่ต่างชาติเห็น ประเด็นทางการเมืองที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีความรุนแรงยืดเยื้อ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว สถานการณ์ต่าง ๆ ค่อยคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี เชื่อว่าในอนาคตต่างชาติก็จะค่อยเข้าใจสภาพสังคมไทยแบบที่เราเข้าใจ