ค่ายรถเร่งเครื่องส่งออกชดเชยยอดขายในประเทศ "ซูซูกิ" เข็นเซเลริโอ้บุกยุโรป-อาเซียน โตโยต้า-มิตซูฯ-นิสสันระบุตัวเลขยังโตตามเป้า ท่าเทียบเรือนามยงชี้ทิศทางที่ดี คาดเออีซีดันยอดส่งออกรถยนต์ทะลุ 1.5 ล้านคันต่อปี พาณิชย์เผยตัวเลขส่งออกยานยนต์ยังโต 0.5%
ตลาดรถยนต์ในประเทศที่หดตัวอย่างต่อเนื่องตลอด 8 เดือนที่ผ่านมาของปี 2557 ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการส่วนใหญ่เบนความสนใจให้กับการขยายตลาดส่งออกกันอย่างคึกคัก ล่าสุดนายทาคายูคิ ซูกิยามา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดฉลองความสำเร็จการส่งออกรถยนต์ซูซูกิ เซเลริโอ้ ไปยังประเทศเยอรมนี อังกฤษ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และประเทศอื่น ๆ ในแถบทวีปยุโรป ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
หลังจากที่โรงงานในประเทศไทยก่อตั้งขึ้นและถือเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญ โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 50,000 คันต่อปี โดยตั้งเป้าในการส่งออกไปยังตลาดยุโรปประมาณ 30,000 คันต่อปี และเพื่อรองรับโครงการอีโคคาร์เฟสสอง
โดยได้เพิ่มกำลังการผลิตให้ถึง 100,000 คันต่อปี ภายในปี 2559นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ซูซูกิ เซเลริโอ้ เป็นอีโคคาร์รุ่นที่ 2 ของบริษัทที่ทำตลาดในประเทศไทย เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เจาะกลุ่มความต้องการของคนทำงานและกลุ่มนักศึกษา ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าในประเทศเป็นอย่างดี ล่าสุดจึงได้ส่งออกไปยังตลาดเอเชียและยุโรป โดยเฉพาะตลาดยุโรปที่เป็นความภาคภูมิใจของบริษัทที่สามารถผลิตรถยนต์ให้เป็นที่ยอมรับในคุณภาพ ทัดเทียมกับประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อื่น ๆ
ขณะที่นายวราทิตย์ อิทธิสารรณชัย ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานขายและสำนักการตลาด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงตลาดส่งออกรถยนต์ว่ายังมีทิศทางที่น่าพึงพอใจ
โดยตั้งเป้าการส่งออกในปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 5% และสามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากตลาดหลักทั้งในยุโรป ออสเตรเลีย และอาเซียนยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดอาเซียนที่แม้จะไม่ได้เป็นตลาดใหญ่เหมือนยุโรป แต่ก็เป็นตลาดที่มีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ ตลาดในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่รายได้ประชากรเริ่มสูงขึ้น ทำให้ความต้องการรถยนต์เพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่าแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับเป้า
การเติบโตของการส่งออกรวมในปีนี้ลดลงเหลือ 0% แต่เชื่อว่าเฉพาะการส่งออกรถยนต์นั้น ทิศทางน่าจะยังเป็นบวกอยู่เช่นเดียวกับนายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการส่งออกรถยนต์ของบริษัทว่าในช่วงครึ่งปีแรกได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป จำนวน 230,006 คัน เพิ่มขึ้น 14.9% คิดเป็นมูลค่า 104,908 ล้านบาท และการส่งออกชิ้นส่วน มูลค่า 33,076 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าการส่งออกที่ 137,984 ล้านบาท และเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 433,000 คัน คิดเป็นมูลค่า 196,900 ล้านบาท และการส่งออกชิ้นส่วน มูลค่า 68,900 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น ประมาณ 265,800 ล้านบาท
ส่วนนายโทรุ ฮาเซกาวา ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด เปิดเผยว่า รถยนต์รุ่นล่าสุดที่จะทำการส่งออก คือรถปิกอัพ เอ็นพี 300 นาวารา ซึ่งผลิตที่โรงงานแห่งที่ 2 บนถนนบางนา-ตราด ที่มีกำลังการผลิตช่วงแรก 47,000 คัน
ช่วงแรกจะผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ และจะค่อย ๆ เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไป เพื่อตลาดส่งออกใน 45 ประเทศทั่วโลก และจะทำการส่งออกรถไปยังประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอาเซียนด้วย
นายนายเทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นามยง เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการท่าเทียบเรือเพื่อการนำเข้าและส่งออกรถยนต์ที่ท่าเทียบเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือแบบโรลอิน-โรลออฟ (Roll in-Roll off) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น หลังจากตลาดรถยนต์ภายในประเทศหดตัว แต่ผู้ผลิตยังไม่สามารถลดกำลังการผลิตในทันทีได้ จึงเป็นผลให้ต้องเร่งระบายสินค้าไปสู่ตลาดส่งออกมากยิ่งขึ้น โดยประเภทรถที่มีสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนคือกลุ่มอีโคคาร์ ซึ่งมีจำนวนการส่งออกเพิ่มขึ้นราว 20% และคาดว่าการส่งออก
อีโคคาร์น่าจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจากรถรุ่นใหม่ ๆ ที่จะทยอยเปิดตัวออกมาส่วนทิศทางของการส่งออกรถยนต์ในประเทศไทยในอนาคตนั้น คาดว่าในระยะเวลาภายใน 3 ปีนับจากนี้ ตัวเลขการส่งออกน่าจะเติบโตเฉลี่ยอย่างน้อย 15% ต่อปี จนถึงปี 2558 ที่เป็นการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบนั้น
คาดว่าน่าจะมียอดการส่งออกถึง 1.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 1 ล้านคัน ขณะที่ค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่จะประเมินตัวเลขการส่งออกไว้สูงถึง 2 ล้านคัน ซึ่งผลกระทบด้านภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวนั้น บริษัทมองว่าแม้ในยูโรโซนจะมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ในตลาดของภูมิภาคอื่น ๆ ก็ยังเติบโตขึ้น มีตลาดใหม่ ๆ เกิดขึ้นทดแทน ทำให้ภาพรวมของการส่งออกรถยนต์มีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากรถยนต์เป็นสินค้าที่มีความจำเป็น และประเทศไทยก็เป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญของโลก
ปัจจุบันการส่งออกรถยนต์มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นอันดับหนึ่งของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นสัดส่วน 10% จากมูลค่าการส่งออกรวม โดยมีการส่งออกในพื้นที่หลัก ๆ คือประเทศออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, ทวีปเอเชีย, ตะวันออกกลาง และยุโรป
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยมูลค่าการส่งออกกลุ่มยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบในช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ประเทศไทยส่งออกได้ทั้งสิ้น 20,407 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้น 0.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน