|
จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ก้าวสู่ศูนย์กลางระดับโลก
เมื่อเร็วๆนี้ สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย จัดงานสัมมนาในหัวข้อ CEO TALK : 2015 จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยมีนายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานกล่าวเปิดงาน และร่วมปาฐกถาพิเศษ ร่วมด้วยผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชั้นนำที่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างคับคั่ง นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช กล่าวว่า ในปี 2558 ภาคอุตสาหกรรมจะมีการขยายตัว โดยเฉพาะการส่งออก, กำลังซื้อของผู้บริโภคจะขยับตัวดีขึ้น ประกอบกับโครงการจากทางภาครัฐที่มีการลงทุน มีการเซ็นสัญญาในหลายโครงการ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความคึกคัก โดยคาดว่าในปีหน้ายอดการผลิตจะทำได้ 2.2 ล้านคัน หรือ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 10% ส่วนการประกาศปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2559 ในส่วนนี้จะก่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการลงทุนรถยนต์ประหยัดพลังงาน อีกทั้งยังเป็นไปในแนวเดียวกับการพัฒนายานยนต์โลกในการประหยัดพลังงาน ด้านนายองอาจ พงศ์กิจวรสิน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า เป้าหมายในปีหน้าคือ "ไทยควรจะเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมของโลก" ซึ่งปัจจุบันมีการเตรียมความพร้อมในหลายเรื่อง มีแผนงานพัฒนา ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน, การสนับสนุนของภาคอุตสาหกรรม, แรงงาน, ระบบการทดสอบคุณภาพมาตรฐานรถยนต์ รวมไปถึงกฎหมาย-ระเบียบของแต่ละหน่วยงานให้มีความสอดคล้องกัน เช่นเดียวกับนายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ระบุว่า การเปิดเออีซี, กำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มสูงขึ้น และการพัฒนารถที่หลากหลายทำให้แต่ละครัวเรือนมีการซื้อรถหลายคันหลายประเภท ตรงจุดนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต โดยในส่วนของเออีซี ไทยจะได้ประโยชน์ อาทิ จากพรมแดน, การแลกเปลี่ยนหมุนเวียนสินค้า, ภาคขนส่ง ที่วิ่งโดยสารข้ามประเทศ "ไทยมีความรู้ความสามารถ ความพร้อมในด้านกำลังการผลิตและด้านซัพพลายเชน ซึ่งอยู่ที่รัฐว่าจะพัฒนาแนวคิดนี้ไปต่อยอดอย่างมั่นคงและยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตามเราเชื่อมั่นว่าในอนาคตไทยจะมีบทบาทเป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนและในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง เช่นเดียวกับในกลุ่มเออีซี ไทยก็จะมีศักยภาพสูงสุด และเป็นผู้นำด้านยานยนต์ และในปี 2558 -2559 อุตสาหกรรมยานยนต์ก็จะเป็นจ่าฝูงในการนำพาให้ไทยก้าวไปสู่อันดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ" อย่างไรก็ตาม นายประพัฒน์ เชยชม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส การตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในเรื่องนี้ว่า การเปิดเออีซี ทำให้นิสสันให้ความสำคัญกับประเทศไทยมากขึ้น ดังจะเห็นจากการลงทุนกว่าหมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งในปีหน้าเออีซีเปิด ก็จะมีการไหลเข้ามาของแรงงาน และเราก็จะใช้ประโยชน์จากตรงนั้น เช่นเดียวกับการส่งออกไปยังประเทศต่างๆซึ่งไทยก็จะเป็นฮับในการส่งออกไปยังเพื่อนบ้านเหล่านั้น ด้านนางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทรนด์ของเครื่องยนต์ในปีหน้าจะอยู่ที่ 3 แบบได้แก่ ไฮบริด ซึ่งจะไม่หยุดอยู่ที่ไฮบริดแต่จะต้องต่อยอดมาเป็นไฮ เพอร์ฟอร์แมนซ์ไฮบริด, ต่อมา คลีน ดีเซล ที่ยังไม่แพร่หลายในไทย แต่เป็นที่รู้จักกันดีในยุโรป ที่มีราคาแพง มีความทนทาน และสุดท้ายคือ อีวี ที่ยังคงพัฒนาต่อเนื่อง แต่ยังติดขัดปัญหาเรื่องอินฟาสตักเจอร์หรือระบบสาธารณูปโภคต่างๆแหล่งพลังงานที่จะรองรับ รวมไปถึงการลงทุนที่สูง ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลา โดยมาสด้ามองว่า คลีน ดีเซล จะทำให้ผู้ผลิตเข้ามาในเทคโนโลยีนี้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงสร้างภาษี ในปี 2559 จะเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย โดยจะเป็นการจูงใจผู้ผลิต เพราะมีเกณฑ์ภาษีได้ในระดับหนึ่งและมาสด้าได้นำเอาโนว์ฮาวของสกายแอคทีฟเข้ามาประกอบในประเทศไทยด้วย
ผู้แต่ง / แหล่งที่มา : นิตยสารรถ WEEKLY
ผู้บันทึก :
กองบรรณาธิการ
date : [ 16 ธ.ค. 2557 ]
|
|
error=select * from newtopic order by q_id desc |