สถิติอุบัติเหตุ " รถฉุกเฉิน" หรือ "AMBULANCE" รอบปี 2557 ที่ผ่านมาถึง 61 ครั้งทำให้บุคลากรทางการแพทย์เสียชีวิตกว่า 10 รายและบาดเจ็บสาหัสอีกกว่า 50 ราย ถือเป็นตัวเลขที่สูงและไม่น่าเชื่อว่า "รถฉุกเฉิน" จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เหตุผลนี้ทำให้ "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน" (สพฉ.) ในฐานะผู้รับผิดชอบหน่วยกู้ชีพโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศในระบบที่มีมากกว่า 15,000 คันต้องเพิ่มความเข้มข้นเรื่องความปลอดภัย "แพทย์พยาบาล" ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในฉุกเฉินมากขึ้น เพราะเป็นรถที่ต้องใช้ความเร็วทำงานแข่งกับเวลา หากพลาดเพียงเสี้ยวนาทีเดียวนั่นหมายถึง ความเป็นความตาย ของผู้ที่อยู่ในรถไม่เฉพาะทีมแพทย์พยาบาลเท่านั้นยังรวมถึงผู้ป่วยผู้บาดเจ็บและญาติที่นั่งในรถด้วย
นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า รอบปี 2558 ตั้งเป้าลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุรถฉุกเฉินให้เกิดเหตุน้อยที่สุดหรือไม่เกิดเลย เป็นสิ่งที่ สพฉ.ให้ความสำคัญมาก ที่ผ่านมาได้สูญเสียบุคลากรที่ทำงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน จากนี้ไปต้องดูแลรถฉุกเฉินและผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้ปลอดภัยมากที่สุด ที่ผ่านมาได้มีการนำพนักงานขับรถฉุกเฉินในระบบกว่า 1,000 คนอบรมโครงการ "ขับขี่ปลอดภัย" หลักสูตรขับรถพยาบาลชั้นสูงพร้อมตรวจสุขภาพและกำหนดคุณสมบัติระเบียบปฏิบัติของ "คนขับ" ให้ชัดเจนเป็นมาตรฐานเดียวกัน จากนี้ไปคนที่ขับรถพยาบาลต้องมีใบอนุญาตขับรถพยาบาล ขณะที่พยาบาลที่ทำหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยต้องผ่านการอบรมหลักสูตรพยาบาลส่งต่อผู้ป่วยเข้มข้นด้วย ขณะเดียวกันได้ปรับปรุงรถฉุกเฉินให้มีความมั่นคงแข็งแรงลดความรุนแรงในการเกิดอุบัติเหตุ ติดตั้งระบบติดตามรถพยาบาล (Ambulance Tracking) เพื่อควบคุมการใช้รถพยาบาลและติดตามระดับความเร็วของรถพยาบาลไม่ให้เกินที่กฎหมายกำหนด เบื้องต้นมีการทดลองใช้กับรถของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติแล้ว
"หากพนักงานขับรถเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด ศูนย์สื่อสารสั่งการจะแจ้งเตือนไปยังคนขับให้ลดความเร็วในทันที โดยหลักในการขับรถฉุกเฉินต้องใช้ความเร็วมากที่สุดคือผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติโดยจะขับรถได้ไม่เกิน 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คนขับจะต้องมีสติมีสมาธิและมีความชำนาญทบทวนการปฏิบัติอยู่เสมอ ขณะที่ประชาชนทั่วไปเมื่อเห็นไฟฉุกเฉินวับวาบและเสียงไซเรนก็ขอความกรุณาชิดขอบทางด้านซ้ายหลบให้รถฉุกเฉินผ่านไปก่อน อยากให้เกิดความเข้าใจตรงกันว่า การที่รถฉุกเฉินเปิดไฟขอทางและไซเรนนั้นแสดงว่ามีผู้ป่วยหนักอยู่ในรถจริงๆ ขอให้คิดเสมอว่าคนที่อยู่ในรถนั้นเป็นพ่อแม่หรือเป็นญาติของท่านเอง ที่ผ่านมา สพฉ.รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนหลีกทางให้กับรถฉุกเฉินและเข้าใจการทำงานในส่วนนี้อย่าได้ตกใจหรือทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณไซเรนที่ดังขึ้น" นพ.อนุชา ระบุ
ถึงแม้ว่า "รถฉุกเฉิน" จะได้รับอนุญาต "ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจร" ก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้ขับขี่จะสามารถใช้ความเร็วได้มากเกินความปลอดภัยหรือฝ่าไฟแดงได้โดยไม่ดูซ้ายขวา นั่นก็หมายถึงการนำไปสู่ "อุบัติเหตุ" บนท้องถนนนั่นเอง สำหรับการปฏิบัติของ "ผู้ขับขี่รถบนท้องถนน" ทั่วไปขอให้มองกระจกซ้ายขวาและกระจกหลังอยู่เสมอ เมื่อพบรถฉุกเฉินวิ่งตามมาในระยะกระชั้นชิดจะได้กะระยะ "หลบหลีก" ได้ทัน เมื่อพิจารณาปริมาณรถทั้งซ้ายและขวาแล้วพบว่าไม่มีอันตรายก็ให้เบี่ยงชิดซ้ายในทันที แต่หากไม่สามารถหลีกทางได้เพราะสภาพจราจรที่แออัดหรือมีอันตรายก็ให้หยุดชะลอลดให้นิ่งก่อน เพื่อให้รถฉุกเฉินหาทางวิ่งผ่านเราไปได้ ที่สำคัญเมื่อรถฉุกเฉินวิ่งผ่านไปแล้วห้ามขับตามเด็ดขาด