โตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกมีผลกำไรเพิ่มขึ้น หลังจากค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงชดเชยยอดขายในประเทศที่หดตัวลง โตโยต้าคาดว่าผลกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 2.7 ล้านล้านเยน สำหรับปีงบประมาณนี้ หรือ 7.3 แสนล้านบาท ที่จะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2558 จากในปีงบประมาณก่อนหน้าที่มีผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 2.5 ล้านล้านเยน หรือ 6.58 แสนล้านบาท
โดยค่าเงินเยนอ่อนนั้นมีผลต่อตลาดส่งออกที่ดีขึ้น และสามารถชดเชยกับสภาวะยอดขายในประเทศที่ลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศจาก 5% เป็น 8% และในเดือนตุลาคมปีนี้จะปรับเพิ่มเป็น 10% และการที่ค่าเงินเยนอ่อนตัวนั้นเป็นปัจจัยบวกที่ชัดเจนพอจะชดเชยปัญหาการรีคอลรถยนต์ถึง 1.75 ล้านคันในเดือนตุลาคมในปี 2557 ได้ ซึ่งการรีคอลนั้นเกิดขึ้นกับหลายประเด็นทั้งเรื่องระบบเบรก และชิ้นส่วนที่เป็นส่วนประกอบของระบบเผาไหม้เชื้อเพลิง
นายทาคูโอะ ซาซากิ เจ้าหน้าที่บริหารค่ายโตโยต้า เปิดเผยว่า จนถึงสิ้นปีงบประมาณโตโยต้าน่าจะมียอดขายที่ 9 ล้านคัน จากในปีก่อนหน้าที่ 9.05 ล้านคัน ซึ่งแม้ว่าตัวเลขยอดขายจะลดลง แต่กลับมีรายได้จากการปฏิบัติการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 2.7 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงกลยุทธ์การบริหารจัดการที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีผลกำไรเพิ่มขึ้นคือ ค่าเงินเยนที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับสหรัฐถึง 15% ในช่วงปีที่ผ่านมา ที่ช่วยผลักดันตลาดส่งออก ที่การผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นนั้นมีสัดส่วนเป็นการส่งออกถึง 50% ขณะที่ตลาดรถยนต์ใหญ่สุดของโตโยต้า นั่นคือสหรัฐก็มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่โตโยต้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นแบรนด์อื่น ๆ ที่มียอดขายในสหรัฐดีขึ้นด้วย เห็นได้ชัดจากช่วงเดือนเมษายน-ธันวาคมที่มีการเติบโตชัดเจน เมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์ภูมิภาคอื่น ๆ
ขณะที่ฮอนด้าได้ปรับลดประมาณการยอดขายและผลกำไร หลังจากในไตรมาสที่ 3 ผลประกอบการลดลงอย่างรวดเร็ว จากการเรียกคืนรถยนต์ครั้งใหญ่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับแอร์แบ็กระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ซึ่งผู้ผลิตคือซัพพลายเออร์รายใหญ่ชื่อ "ทาคาตะ" รัฐบาลสหรัฐได้เรียกปรับเป็นจำนวน 70 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.2 พันล้านบาท ทำให้จนถึงสิ้นปีงบประมาณจะมีกำไรสุทธิที่ 5.45 แสนล้านเยน หรือ 1.49 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 3.5%
และประเด็นการรีคอลรถทำให้รายได้สุทธิในช่วง 3 ไตรมาสแรกลดลง 15% แต่ในส่วนของยอดขายนั้นยังคงมีการเติบโตที่ 6.3% ซึ่งปัจจัยค่าเงินเยนที่อ่อนลงก็มีผลช่วยให้ผลกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกนั้นเพิ่มขึ้น 5.3% ส่วนยอดขายรวมนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ 4.45 ล้านคัน ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 4.62 ล้านคัน
ขณะที่นิสสันได้รายงานผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณว่ามียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 25% เนื่องจากยอดขายในอเมริกาเหนือที่แข็งแกร่งชดเชยตลาดอื่น ๆ ได้ โดยยอดขายนับตั้งแต่เมษายน-กันยายน 2557 ทำให้นิสสันมีกำไรสุทธิ 2.37 แสนล้านเยน หรือ 6.49 หมื่นล้านบาท เป็นผลมาจากยอดขายของรถยนต์รุ่นใหม่ของนิสสันที่มีดีมานด์สูง และยอดขายที่เพิ่มขึ้นในอเมริกาเหนือที่ได้รับปัจจัยหนุนจากค่าเงินเยนอ่อนตัวลง
ทำให้ตลาดส่งออกดีขึ้น ทำให้ในช่วง 6 เดือนดังกล่าวบริษัทมียอดขาย 2.58 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 5.8%
นายคาร์ลอส กอห์น ประธานและซีอีโอนิสสัน กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2557 นิสสันถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากกับการสามารถเอาชนะตลาดที่มีความท้าทาย มีเงื่อนไขและปัจจัยทั้งบวกและลบหลายด้าน แต่สามารถมีรายได้และผลกำไรที่มั่นคงจากการเติมเต็มความต้องการของลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
ซึ่งนิสสันมองว่าตลาดรถในจีน ญี่ปุ่น รัสเซียยังชะลอตัว เช่นเดียวกับในตลาดรถยนต์เกิดใหม่อื่น ๆ ส่วนตลาดรถในยุโรปที่เริ่มมีเสถียรภาพ ตลาดในอเมริกาเหนือเติบโต ซึ่งนิสสันประเมินว่าจนถึงสิ้นปี งบประมาณนี้ ยอดขายจะจบที่ 5.45 ล้านคัน ลดลงราว 2 แสนคัน เนื่องมาจากยอดขายในจีนและตลาดเกิดใหม่ที่น้อยกว่าที่คาดไว้