จำนวนผู้เข้าชม : 269 ครั้ง
End Page
 
 
แมคลาเรน เซนนา การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์

 แมคลาเรน เซนนา มอบรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวน่าเกรงขามไม่แตกต่างจากสมรรถนะขั้นสุดยอดที่แฝงอยู่ภายใน ด้วยการใช้รูปทรงบริสุทธิ์ในการสร้างสรรค์ผ่านภาษาของการออกแบบที่ดุดัน เพื่อการบิดและเหนี่ยวนำกระแสอากาศอย่างทรงพลังให้สอดคล้องตามข้อกำหนดด้านอากาศพลศาสตร์ และแสดงถึงปรัชญา "Form follows Function" ของแมคลาเรนอย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า เราไม่อาจไล่สายตาจากส่วนหน้าไปยังส่วนท้ายของตัวรถได้โดยไม่ผ่านท่อลม ซึ่งถูกออกแบบมาให้ทำงานสัมพันธ์กับหลักอากาศพลศาสตร์อย่างสมบูรณ์




"ภาษาการออกแบบของ แมคลาเรน เซนนา นั้นบ่งบอกถึงความดุดันอย่างเด่นชัด และยังแตกต่างจากรถยนต์แมคลาเรนรุ่นก่อน เพราะไม่เคยมีรถยนต์แมคลาเรนสำหรับวิ่งบนท้องถนนรุ่นใดที่มอบประสิทธิภาพอันไร้ที่ติเช่นนี้" มร.ร็อบ เมลวิลล์ ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบ แมคลาเรน ออโตโมทีฟ กล่าว "เมื่อคุณเห็นรถยนต์คันนี้ครั้งแรก จะสัมผัสได้ทันทีถึงความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น และเพื่อการนำเสนอประสิทธิภาพการขับขี่ให้ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ เราจึงต้องยกระดับการผลิตให้สูงขึ้นอีกขั้น ซึ่งเหนือกว่ารุ่น McLaren P1อย่างชัดเจน"
ทันทีที่อากาศปะทะส่วนหน้ารถก็จะเข้าสู่ระบบควบคุมการไหลเวียนอากาศในทันที โดยเมื่อปะทะกับพื้นผิวทั้ง 4 ส่วนของหน้ารถยนต์ ได้แก่ สปลิตเตอร์หน้า, แถบรับลม Aero Blades แบบแอ็คทีฟ, แถบรับลม Aero Blades รองแบบติดตาย, และ ช่องเปิดระหว่างไฟหน้ากับไฟเดย์ไลท์ ซึ่งอากาศจะถูกเบนทิศทางโดยชิ้นส่วนเหล่านี้ไปตามลำดับ สำหรับดีไซน์ส่วนท้ายของตัวรถถูกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์และข้อกำหนดเรื่องการหล่อเย็นเครื่องยนต์ โดยปีกที่ยื่นออกจากช่องบานเกล็ดซ้อนชั้นจะเบนอากาศออกจากท้ายรถและไหลลงสู่ด้านข้าง ทำให้ส่วนที่มีแรกกดต่ำดึงอากาศร้อนออกจากหม้อน้ำรถยนต์และห้องเครื่องยนต์ ซึ่งบานเกล็ดซ้อนชั้นจะช่วยทำให้การไหลของอากาศไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของปีกหลัง ท่อไอเสียดีไซน์ตัดเฉียงยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการไหลเวียนของอากาศ ด้วยการวางตำแหน่งและองศาที่เหมาะสมจึงช่วยขจัดการรบกวนที่จะเกิดกับส่วนปีกและดิฟฟิวเซอร์หลังได้เป็นอย่างดี




ท่อไอเสียถูกวางตำแหน่งให้อยู่ส่วนท้ายรถ (เมื่อวัดจากขอบท้าย) ที่ต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับแมคลาเรนรุ่นวิ่งบนท้องถนนทุกรุ่น โดยต่ำกว่าตระกูล Super Series ถึง 18 เซนติเมตร ซึ่งตรงกันข้ามกับส่วนปีกหลังคาร์บอนไฟเบอร์สองชั้นที่ทำงานด้วยระบบไฮดรอลิก ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบหลักในการสร้างแรงกดให้ตัวรถ กลับถูกติดตั้งให้อยู่ในตำแหน่งสูงและสามารถปรับองศาได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงกดสูงสุดและรักษาสมดุลอากาศพลศาสตร์ของตัวรถให้เหมาะสม โดยชิ้นส่วนปีกมีน้ำหนักเพียง 4.87 กิโลกรัม แต่สามารถเสริมน้ำหนักแรงกดได้มากกว่า 100 เท่าเลยทีเดียว
ดิฟฟิวเซอร์ 2 ชั้นที่ส่วนท้ายรถนับว่ามีบทบาทสำคัญมากเช่นกัน โดยแต่ละชิ้นทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และติดตั้งที่ใต้ส่วนเพลาท้าย ทำหน้าที่เพิ่มกำลังเร่งของลมที่ไหลออกจากบริเวณข้างใต้รถให้สูงขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดโซนแรงกดต่ำและ "ดูด" ตัวรถแมคลาเรน เซนนา ลงสู่พื้นถนน




โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์
เทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ในรถแข่งฟอร์มูล่าวันและโครงสร้างคาร์บอนแบบ Monocage III ในแมคลาเรน เซนนา นั้นมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 เมื่อครั้งที่เริ่มใช้ในรุ่น McLaren MP4/1 ซึ่งเป็นรถแข่งฟอร์มูล่าวันรุ่นแรก โดยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์แบบ Monocage III เป็นโครงสร้างตัวถังวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์แบบไร้โครงที่แข็งแรงที่สุดที่สร้างสรรค์โดยแมคลาเรนสำหรับใช้ในรถยนต์รุ่นวิ่งบนท้องถนนและนำเสนอส่วนท้ายรถแบบสองชั้นรุ่นใหม่ที่มีโครงเหล็กเสริมพิเศษสำหรับป้องกันห้องโดยสารได้ในตัวเอง นอกจากนี้ Monocage III ยังเป็นโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่เคยมีมาและเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ แมคลาเรน เซนนา ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 1,198 กิโลกรัม* โดยเป็นรถยนต์รุ่นวิ่งบนท้องถนนที่เบาที่สุดเท่าที่แมคลาเรนเคยผลิตมานับตั้งแต่รถยนต์ฟอร์มูล่าวัน
โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์มอบประโยชน์มากมายแก่ แมคลาเรน เซนนา โดยเฉพาะในส่วนของแผงตัวถังซึ่งจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งของโครงสร้างสูง เพราะจำเป็นต้องรองรับแรงกระทำอากาศพลศาสตร์จากหลายด้านในขณะขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงในสนามแข่งขัน โดยสามารถสร้างให้มีความแข็งแรงและน้ำหนักเบาได้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเมื่อคำนวณรวมแล้ว แผงตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ของ แมคลาเรน เซนนา มีน้ำหนักไม่ถึง 60 กิโลกรัมเท่านั้น
ทั้งวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และ Alcantara(R) ยังถูกนำมาใช้ในการตกแต่งห้องโดยสารภายในทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเด่นของดีไซน์แบบเปลือยท้ายที่แฝงด้วยประโยชน์ใช้สอยของ แมคลาเรน เซนนา โดยทั้งแผงหน้าปัด ประตู และองค์ประกอบที่ปรากฏต่อสายตาของโครงสร้าง Monocage III ถูกออกแบบให้เปลือยผิวคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วน Alcantara(R) (วัสดุหนัง) ใช้หุ้มถุงลมด้านข้าง โดยลดทอนการตกแต่งภายในเพื่อให้รถมีน้ำหนักเบาและเผยให้เห็นโครงสร้างของประตูทั้งสองด้าน แม้แต่แท่นแก็สยึดประตู ซึ่งแม้จะสามารถทำสีให้สอดรับกับคาลิเปอร์เบรกและแถบลมแอร์โรแอ็คทีฟด้านหน้าได้ แต่กลับเปลือยให้เห็นโครงสร้าง เพื่อลดน้ำหนักลงแม้เพียงไม่กี่กรัมก็ถือว่ามีความสำคัญมาก
ความแข็งแกร่งของโครงสร้าง Monocage III ทำให้สามารถผลิตโครงเสาหลังคาได้บางเฉียบ ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอกผ่านทางกระจกหน้าขนาดใหญ่และบังโคลนหน้าได้อย่างชัดเจน ทั้งยังช่วยให้สามารถนำ แมคลาเรน เซนนา ผ่านมุมแคบ ๆ ได้อย่างง่ายดาย ถือเป็นการปรับปรุงคุณภาพของทัศนวิสัยโดยทั่วไปได้อย่างดีเยี่ยม โดยสามารถเลือกประตูได้ทั้งแบบบุกระจกทั้งส่วนบนและส่วนล่างแทนแผงคาร์บอนไฟเบอร์มาตรฐานได้ ซึ่งจะช่วยให้แสงธรรมชาติจากภายนอกส่องเข้ามายังห้องโดยสารภายในได้มากยิ่งขึ้น
การออกแบบห้องโดยสาร
ที่นั่งของผู้ขับสามารถเลื่นปรับได้ด้วยรางโดยแป้นเหยียบซึ่งติดตั้งในตำแหน่งตายตัว นับเป็นโซลูชั่นที่ดีที่สุดในการลดความซับซ้อนของชิ้นส่วนและน้ำหนัก ส่วนการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ทั้งแบบ Drive, Neutral และ Reverse ติดตั้งอยู่ตรงที่นั่งของผู้ขับและจะเลื่อนไปตามการปรับตำแหน่งของเบาะ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขับสามารถควบคุมทุกสิ่งได้อย่างง่ายดายและใกล้มือ กลไกการเปิดประตูและสวิตช์หน้าต่างถูกย้ายมาอยู่กลางตัวรถบนแผงควบคุมที่ติดกับหลังคา พวงมาลัยแบบสามแกนซึ่งตกแต่งด้วยหนัง Alcantara(R) ปราศจากปุ่มและสวิตช์ใด ๆ เพื่อให้ผู้ขับมีสมาธิอยู่กับการขับขี่ยานยนต์ได้อย่างเต็มที่ ผู้ขับยังสัมผัสได้ถึงการจับพวงมาลัยที่ได้รับการปรับปรุงให้กระชับถนัดมือยิ่งขึ้นไม่ว่าจะสวมหรือไม่สวมใส่ถุงมือ เพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ในสนามแข่งขัน อีกทั้งพวงมาลัยยังถูกออกแบบให้มีดีไซน์เหมือนกับล้อรถอีกด้วย พร้อมติดตั้งแป้นเปลี่ยนเกียร์คาร์บอนไฟเบอร์ทำผิวแบบซาติน ที่เชื่อมต่อกับสวิตช์แบบกระดกด้านหลังพวงมาลัยอย่างกลมกลืน
ผู้ขับสามารถดูข้อมูลทุกอย่างได้จากจอแสดงผลแบบพับได้สไตล์ McLaren Folding Driver Display และจอระบบอินโฟเทนเมนท์กลาง เมื่อใช้งานแบบ Full Display Mode จอแสดงผลแบบพับได้จะแสดงข้อมูลบนจอแบบ TFT ด้วยเลย์เอาท์ที่แตกต่างกัน 3 รูปแบบขึ้นอยู่กับว่าผู้ขับขี่ แมคลาเรน เซนนา กำลังใช้โหมดการขับขี่แบบ Comfort, Sport, Track หรือ Race โดยเมื่อตั้งค่ากับแผงควบคุม Active Dynamics Panel หรือควบคุมเองเองแบบอิสระ จอแสดงผลจะสามารถพับลงเป็นแบบ Slim Display Mode เพื่อแสดงผลเฉพาะข้อมูลสำคัญ อาทิ ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ และเกียร์ที่เลือกใช้ การวางตำแหน่งจอรูปแบบนี้ได้รับการออกแบบให้เหมาะสำหรับการแข่งขันในสนามแข่งเพื่อให้มองเห็นลู่วิ่งข้างหน้าได้อย่างเต็มตา และยังเหมาะกับผู้ขับที่ชื่นชอบการแสดงผลที่เรียบง่ายในขณะขับขี่บนท้องถนน
จอแสดงข้อมูลแบบ "ลอยได้" นี้ จะพับขึ้นในแนวตั้งเพื่อเพิ่มพื้นที้สอยภายใน โดยจะเอียงทำมุมออกด้านนอกและพับตั้งตรงขึ้นโดยหันหน้าเข้าหาผู้ขับให้มองเห็นได้ง่ายตามระดับสายตาเมื่อสวมใส่หมวกกันน็อก กระจกหน้าแบบเต็มขอบให้ความรู้สึกสอดรับกับแผงควบคุม Active Dynamics Panel และจอแสดงผลขนาด 8 นิ้วได้อย่างลงตัว ในการแสดงข้อมูลการทำงานของรถยนต์ทั้งระบบเสียง สื่อ การนำทาง และการทำงานอื่น ๆ ซึ่งสามารถควบคุมได้ผ่านทางจอ TFT
ผู้ขับสามารถเลือกออพชั่นเพื่อเสริมความหรูหราและสะดวกสบายได้ตามต้องการ ซึ่งมีทั้งการหุ้มหนังคุณภาพสูง รวมถึงชุดการตกแต่งเบาะนั่งคาร์บอนไฟเบอร์แบบซูเปอร์-ไลท์เวทสไตล์ "ทัวริ่ง (Touring)" หลากหลายรูปแบบ พร้อมเพิ่มออพชั่นเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถและกล้องส่องหลังโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นอกจากนี้ แมคลาเรน ยังร่วมมือกับ Bowers & Wilkins ในการสร้างสรรค์ระบบเสียงซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อ แมคลาเรน เซนนา โดยเฉพาะ นำเสนอในรูปแบบออพชั่นเสริมระบบเสียงลำโพง 7 จุดนำหนักเบาพิเศษ ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 7.32 กิโลกรัมเท่านั้น
ขุมพลังเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง M840TR
เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ รหัส M840TR ใช้เพลาข้อเหวี่ยงแบบ Flat-plane ระบบหล่อลื่นได้แรงบันดาลใจจากรถแข่งและใช้ส่วนเชื่อมก้านสูบและลูกสูบน้ำหนักเบาเพื่อการลดมวลในระบบส่งกำลัง ตัวเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Twin-scroll แรงเฉื่อยต่ำน้ำหนักเบาพิเศษและตัวควบคุมแรงดันไอเสียที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าช่วยให้นักขับสามารถชะลอเครื่องได้อย่างฉับไว จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ดียิ่งขึ้น เพลาลูกเบี้ยวและลูกสูบน้ำหนักเบาถือเป็นจุดเด่นของแมคลาเรน เซนนา และดัมพ์วาล์วที่เปลี่ยนตำแหน่งอยู่ภายนอกยังถือเป็นอุปกรณ์เฉพาะของรุ่นเซนนาเท่านั้น นอกจากนี้ การตรวจจับอิออนด้วยเซ็นเซอร์ในลูกสูบแต่ละตัว ยังช่วยให้เกิดแรงดันและอุณหภูมิสูงกว่าเครื่องยนต์รุ่นอื่น ๆ ของแมคลาเรน
การทำงานของไดนาโมมิเตอร์ที่เปี่ยมประสิทธิภาพในการควบคุมพลังงานที่สมบูรณ์แบบ ช่วยมอบกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดได้มากตามที่แมคลาเรน เซนนา ต้องการ ด้วยแรงบิด 700 นิวตันเมตร (516 แรงปอนด์ฟุต) ด้วยรอบเครื่องยนต์ 3,000 รอบต่อนาที โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 800 นิวตันเมตร (590 แรงปอนด์ฟุต) ในช่วงรอบเครื่องยนต์ 5,500-6,700 รอบต่อนาที (789 แรงม้า) โดยมีกำลังเครื่องสูงสุดที่ 7,250 รอบต่อนาที
ท่อไอเสียอินคอเนลและไทเทเนียมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ นับเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบหลักในระบบส่งกำลังประสิทธิภาพสูงของแมคลาเรน เซนนา ซึ่งผ่านการติดตั้งและพัฒนามาอย่างรัดกุมเพื่อลดน้ำหนักให้น้อยที่สุด โดยท่อไอเสียของรถยนต์รุ่นนี้นำเสนอทั้งระบบท่อคู่หรือระบบสามท่อตามข้อกำหนดของประเทศต่าง ๆ ท่อไอเสียให้เสียงดังและแผดแหลม เหมือนเสียงของเครื่องมอเตอร์ไซค์แข่งขันที่กำลังโลดแล่นในสนามอย่างดุเดือด ซึ่งให้ความรู้สึกแตกต่างจากรถยนต์แมคลาเรนรุ่นอื่น ๆ อย่างชัดเจน โดยเสียงเครื่องยนต์ที่ค่อย ๆ ครางกระหึ่มจะปลุกเร้าให้นักขับใช้รอบเครื่องยนต์สูงขึ้น โดยระดับเสียงจะดังได้ถึง 100 เดซิเบลเมื่อเครื่องยนต์ทำงานทุกๆ 2,000 รอบต่อนาทีในขณะไต่ขึ้นสู่กำลังสูงสุดของเครื่องยนต์
กระปุกเกียรต์ 7 สปีดแบบคลัทช์คู่พร้อมการเปลี่ยนเกียร์ที่ลื่นไหลช่วยมอบพลังอันเหลือเชื่อแก่ล้อหลัง โดยโหมดการส่งกำลังปกติจะเป็นการทำงานแบบอัตโนมัติโดยสมบูรณ์ แต่นักขับแมคลาเรน เซนนา สามารถเลือกการควบคุมคันเกียร์แบบแมนนวลทั้งหมดได้ผ่านทางแผงควบคุม Active Dynamics Panel ที่อยู่ภายในจอแสดงผลที่ติดตั้งอยูตรงกลาง และสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้โดยใช้แป้นคาร์บอนไฟเบอร์ที่ติดตั้งบนคันโยกหลังพวงมาลัย ซึ่งแป้นเปลี่ยนเกียร์นี้ยังสามารถใช้ได้ทั้งในขณะสวมใส่และไม่สวมใส่ถุงมือนักแข่งรถ
ระบบกันสะเทือน RaceActive Chassis Control II เสริมด้วยยางและระบบเบรกรุ่นใหม่
แมคลาเรน ออโตโมทีฟ บุกเบิกการใช้เทคโนโลยีกันสะเทือนแบบแปรผันมาตั้งแต่ช่วงริเริ่มพัฒนารถยนต์รุ่น MP4 12C ด้วยการนำเสนอระบบการควบคุมแชสซีแบบ ProActive Chassis Control ที่สั่นสะเทือนวงการ สำหรับระบบกันสะเทือนมาตรฐานสนามแข่งรุ่นล่าสุดที่เริ่มใช้ในแมคลาเรน เซนนา นี้ถือเป็นระบบที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่แมคลาเรนเคยนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นวิ่งบนท้องถนน นั่นคือ RaceActive Chassis Control II (RCC II) ซึ่งใช้ปีกนกคู่ทั้งหน้าและหลัง พร้อมตัวหน่วงการสั่นสะเทือนที่ปรับได้ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยระบบไฮดรอลิกทั้งระหว่างซ้ายกับขวาและหน้ากับหลัง โดยข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงมาตรความเร่งของล้อทั้งสี่ เซ็นเซอร์แรงดันสองตัวต่อหนึ่งตัวหน่วงการสั่นสะเทือน และเซ็นเซอร์ที่ตัวรถอีกจำนวนมาก จะถูกวิเคราะห์และเกิดปฏิกิริยาตอบสนองภายในเวลา 2/1000 วินาที เพื่อให้ระบบการหน่วงมีการตอบสนองที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งระบบที่แปรผันอย่างต่อเนื่องนี้มอบการควบคุมที่ล้ำหน้าดังที่เคยถูกใช้ในรุ่น McLaren 720S โดยผสานการทำงานกับโหมดการขับขี่แบบ Race Mode เพื่อมอบระบบกันสะเทือนที่แม่นยำยิ่งขึ้น ผ่านการปรับความสูงของพื้นรถให้ต่ำลงและตั้งจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลงเช่นกัน
"แมคลาเรน เซนนา มอบสมรรถนะขั้นสูงที่แท้จริง สมบูรณ์แบบทั้งการเข้าถึงและการรักษาระดับ ด้วยการเชื่อมโยงสัญชาติญาณ พร้อมนำเสนอคุณค่า ความตื่นเต้นเร้าใจ และความท้าทายแก่นักขับยานยนต์ระดับโลกในเวลาเดียวกัน" แอนดี้ พาล์เมอร์ ผู้อำนวยการสายการผลิตยานพาหนะ อัลติเมท ซีรี่ส์ แมคลาเรน ออโตโมทีฟ กล่าว "ประสบการณ์การขับขี่ยานยนต์ที่ปลุกทุกประสาทสัมผัสนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งสิ่งที่นักขับรู้สึก ได้ยิน และมองเห็น เราต้องการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ให้ตลอดเวลา เมื่ออยู่หลังพวงมาลัยของแมคลาเรน เซนนา นักขับจะได้รับรู้ถึงความแรงในทุกสัมผัสอารมณ์ของยานยนต์เปิดประทุนและความรู้สึกเชื่อมโยงกับรถแข่งที่แท้จริง"
ความเร็วสูงสุดของแมคลาเรน เซนนา ไม่ได้จำกัดที่การขับขี่ในแบบ Race Mode เท่านั้น แต่สามารถเพิ่มได้เร็วกว่า 250 กม./ชม. (155 ไมล์/ชม.) โดยแถบรับลม Aero blade และปีกหลังถูกติดตั้งเพื่อให้เกิดแรงกดกับตัวรถในระดับสูงสุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วและแบ่งเบาน้ำหนักส่วนเกินที่กระทำบนระบบกันสะเทือนและยางรถ โดยนักขับสามารถปรับพารามิเตอร์เสถียรภาพการบังคับรถได้ ผ่านทางแผงควบคุม Active Dynamics Panel เพื่อเข้าสู่โหมดการขับขี่แบบ Comfort, Sport และ Track Mode โดยสามารถเลือก Race Mode ได้ด้วยปุ่มบนแผงควบคุมด้านบนที่ติดกับหลังคารถ
และเพื่อสมรรถนะขั้นสูงสุด แมคลาเรน เซนนา จึงใช้ยางสั่งผลิตซึ่งพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ผ่านการร่วมมือกับ เพอเรลลี พันธมิตรด้านเทคนิคของแมคลาเรนในการผลิตยางรุ่น The Pirelli P ZERO Trofeo R (รุ่น 245/35 ZR19 สำหรับล้อหน้า และรุ่น 315/30 ZR20 สำหรับล้อหลัง) โดยถูกออกแบบให้เป็นยางสำหรับแข่งในสนามแบบแห้งและยังผ่านการอนุมัติให้สามารถใช้งานบนท้องถนนตามปกติได้เช่นกัน ด้วยลวดลายการทอเส้นใยแบบอสมมาตรจึงทำให้มีการยึดเกาะด้านข้างที่ดีเยี่ยม และโครงสร้างแบบพิเศษทำให้สามารถเข้าโค้งได้อย่างเฉียบคม นอกจากนี้ ยังมีการคิดค้นพัฒนาสารประกอบเพื่อลดระยะการเบรกให้สั้นลง เพิ่มประสิทธิภาพการวิ่งทางเรียบ สร้างปฏิกิริยาตอบสนองที่คงที่ระหว่างเพลาหน้าและหลัง และเพิ่มการตอบสนองของการเลี้ยวรอบจุดศูนย์กลาง
ระบบเบรกถือว่ามีความล้ำสมัยมากที่สุดเท่าที่เคยใช้กับรถยนต์แมคลาเรนรุ่นวิ่งบนท้องถนน จานแบรกคาร์บอนเซรามิกแบบ CCM-R แต่ละชิ้นต้องใช้เวลาผลิตถึง 7 เดือน และติดตั้งใบพัดระบายอากาศบนจานเบรกแทนการการหล่อจากแม่พิมพ์ โดยคาลิเปอร์หน้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถยนต์ฟอร์มูล่าวัน เป็นโครสร้างแบบหล่อชิ้นเดียวที่มีควมแข็งแกร่งสูง เพื่อรักษาระยะลึกในการเหยียบเบรก และใช้แบบ 6 ลูกสูบที่มีการระบายอากาศเพื่อช่วยลดอุณหภูมิ
การผลิตพิเศษเพื่อลูกค้าเฉพาะราย
การตกแต่งสไตล์ "By McLaren'" ทั้ง 5 รูปแบบ ได้รับการออกแบบโดยทีมดีไซเนอร์ของแมคลาเรน เพื่อนำเสนอความสง่างามของแมคลาเรน เซนนาได้อย่างโดดเด่น ทั้งการทำสีตัวรถภายนอกในโทนสี Stealth Cosmos black, Trophy Kyanos blue, Trophy Mira orange, Vision Pure white และ Vision Victory grey มอบความสวยงามในทุกองค์ประกอบทั้งแถบรับลม Aero blade หน้า ด้านในบังโคลนหน้า ก้านเบรกคาลิเปอร์ ท่อยึดปีกนกระบบแก็สประตู และการฉลุเบาะนั่งในโทนสีที่ตัดกัน ลูกค้ายังสามารถเลือกสีภายนอกเพิ่มเติมได้อีกจาก 18 สีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมออพชั่นการทำสีอีก 16 รูปแบบจากเฉดสีสไตล์ MSO Defined ที่นำเสนอโดย McLaren Special Operations นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างสรรค์เฉดสีสวยที่ไม่ซ้ำใครได้อย่างไร้ขีดจำกัด ผ่านบริการสั่งผลิต MSO Bespoke ของแมคลาเรน
นอกจากการเลือกเฉดสีรถภายนอกสำหรับแมคลาเรนคันใหม่แล้ว ลูกค้ายังสามารถสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างให้กับรถยนต์คันโปรดนี้ได้ ด้วยรูปแบบการตกแต่งภายในห้องโดยสารที่แตกต่างกันซึ่งนำเสนอโดยทีมนักออกแบบของแมคลาเรน เพื่อมอบความหรูหราด้วยหนังแท้สีดำแบบ Jet Black หรือหนัง Alcantara(R) สีดำสไตล์ Carbon Black รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งห้องโดยสารที่เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์อีกมากมาย ทั้งยังสามารถเลือกออพชั่นต่าง ๆ ได้ในทุกรายละเอียด ทั้งการตกแต่งสีของแถบลม Aero blade หน้าและด้านในบังโคลนหน้า, การทำสีฝาครอบป้องกันร้อนท่อไอเสียในเฉดสีดำ Gloss Black, การทำพื้นผิวโลหะแบบ Satin Raw Metal หรือ Dark Stealth, พวงมาลัยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์หรือ Alcantara(R) และการทำพื้นผิว 3 รูปแบบสำหรับล้ออัลลอยน้ำหนักเบาแบบสั่งหล่อพิเศษ 9 แบบ ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกรูปแบบที่ชื่นชอบทั้งหมดนี้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์แมคลาเรนรุ่นขับขี่ในสนามแข่งขันและบนท้องถนนได้ตามกฎหมาย ดูเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://cars.mclaren.com/ultimate-series/mclaren-senna
"แมคลาเรน เซนนา ถือเป็นการให้เกียรติแก่คุณลุงของผม เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่ให้ความสำคัญกับผู้ขับมากที่สุด รวมถึงความรู้สึกเชื่อมโยงกับยานยนต์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสัมผัสความเป็นอันหนึ่งเดียวกันที่นักขับตอบสนองและยึดมั่น และก่อเกิดเป็นประสบการณ์อันดื่มด่ำนี้ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนายานยนต์รุ่นนี้นับตั้งแต่แรกเริ่ม" บรูโน เซนนา นักขับรถแข่ง หลานชายของ อาอีร์ตง เซนนา และแบรนด์แอมบาสเดอร์แมคลาเรน



ผู้แต่ง / แหล่งที่มา : www.rodweekly.com แหล่ง ซื้อขายรถมือสอง กรุงเทพและปริมณฑล  
 ผู้บันทึก : www.rodweekly.com แหล่ง ซื้อขายรถมือสอง กรุงเทพและปริมณฑล
date : [ 10 เม.ย. 2561 ]
 


 
 

 
 

 
 

 
 

 
 

 
 

ข่าวสารยานยนต์

error=select * from newtopic order by q_id desc