ล่าสุดเมื่อวันพุธที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย, จังหวัดบุรีรัมย์, บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์, กรมการขนส่งทางบก, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยเครื่องดื่มตราช้าง, บริษัท เอพีฮอนด้า จำกัด, บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท แพลน บี อีเลฟเว่น จำกัด และ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัด บุรีรัมย์ แถลงข่าวความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ และร่วมนับถอยหลัง 3 สัปดาห์ โหมโรงก่อนเข้าสู่สุดสัปดาห์แห่งมอเตอร์สปอร์ตที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย
ไฮไลต์ของการแถลงข่าวคือการเปิดตัว ถ้วยรางวัล พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2019 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของการแข่งขัน โมโตจีพี ในประเทศไทย ได้รับแนวคิดในการออกแบบโดยต่อยอด มาจากปีที่แล้ว ซึ่งออกแบบถ้วยให้คล้ายกับประตูวัดตกแต่งด้วยลายไทย เสมือนการเปิดบ้านต้อนรับชาวโลก เข้าสู่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยในปีนี้ ถ้วยรางวัลจะสื่อถึงความเชื่อมโยงของจังหวัดบุรีรัมย์มากขึ้น ผสมผสานเอกลักษณ์ของจังหวัดเข้ากับความเป็นโมโตจีพี ฐานของถ้วยรางวัลจำลองรูปแบบหินที่มีสี และเนื้อสัมผัสคล้ายกับศิลาแลงที่เป็นวัสดุในการก่อสร้างปราสาทหินพนมรุ้ง ตัดแต่งให้มีรูปทรงตาหมากรุกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโมโตจีพี ด้านบนของฐานคือลายแทร็กของ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่เหมือนที่ใดในโลก ตกแต่งด้วยลายเลขไทย ซึ่งมีพื้นฐานมาจากดอกไม้ไทย สื่อถึงความยินดีกับผู้ชนะการแข่งขันที่ประเทศไทยในครั้งนี้
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “กระทรวงการท่องเที่ยวเเละกีฬา ภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่รายการแข่งขันระดับโลกเช่นนี้ได้จัดที่ประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากที่เราได้รับรางวัล BEST GRAND PRIX OF THE YEAR ไปเมื่อปีที่ผ่านมา สำหรับความพร้อมในปีนี้นั้น ในนามของรัฐบาลโดยผมได้มีการลงพื้นที่ตรวจดูความพร้อมล่าสุดที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่การเดินทาง จนถึงภายในสนามแข่งฯ ทั้งโครงข่ายคมนาคม ทางบก ทางอากาศ และทางราง”
“ต้องขอเรียนว่าเราต้องการให้ประเทศไทยพร้อมที่สุดสำหรับการแข่งขัน โมโตจีพี รายการ พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2019 เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่ต้องรองรับแฟนมอเตอร์สปอร์ตจำนวนหลายแสนคน จากทั่วโลกที่จะเดินทางเข้าชมการแข่งขัน เริ่มตั้งแต่สนามบินที่ปีนี้เรามีการปรับปรุงหลายอย่าง ตั้งแต่การปรับปรุงพื้นผิวคอนกรีต ขยายลานจอดอากาศยาน จุดติดตั้งเครื่องตรวจอาวุธและระเบิด สายพานลำเลียงสัมภาระ รวมถึงพื้นที่ลาดเอียงสำหรับผู้ทุพพลภาพ เพื่อยกระดับมาตรฐานให้เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว ให้สมบูรณ์ที่สุด”
“ส่วนในสนามแข่งขันซึ่งจะใช้รองรับการแข่งขัน พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2019 นั้นไม่มีอะไรน่าห่วง จากที่ผมได้เดินทางไปตรวจดูในจุดต่างๆ ในสนามการแข่งขันด้วยตนเอง และมีการประชุมร่วมกัน ทีมงานรับฟังความเห็นของทุกภาคส่วน และนำปัญหาต่างๆ มาปรับปรุงได้เห็นอย่างดี โดยเฉพาะความปลอดภัยในสนามแข่ง มาตรฐานของทีมงาน การอำนวยความสะดวกให้กับผู้ชม ทุกอย่างเป็นไปตามแผนงาน และในส่วนของอัฒจันทร์ชมการแข่งขันที่ได้ปรับปรุงให้มีความมาตรฐานมากขึ้น มั่นคงแข็งแรง นั่งสบายยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความปลอดภัยอย่างสูงสุดในทุกๆ โซนรอบสนามแข่งขัน ซึ่งผมเชื่อว่าตอนนี้เราพร้อมแล้วที่จะเปิดบ้านของเรา เปิดประเทศของเราต้อนรับแฟนมอเตอร์สปอร์ตหลายแสนคนจากทั่วโลก นอกจากนี้ ผมยังได้เดินทางตรวจเยี่ยมโฮมสเตย์ หมู่บ้าน OTOP บ้านโนนสวรรค์ อำเภอ บ้านด่าน จังหวัด บุรีรัมย์ ที่เข้าร่วมโครงการขยายที่พัก เพื่อรองรับความต้องการของแฟนมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งถือว่าชาวบุรีรัมย์ทุกคนมีความพร้อมมากในการต้อนรับ และจะสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวทุกท่านที่จะมาจากทั่วโลก ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวและแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตที่จะเดินทางมารับชม มั่นใจได้เลยว่าจะได้รับทั้งความสุขจากการชมการแข่งขันและความสุขจากการได้เยือนจังหวัดบุรีรัมย์อย่างแน่นอน”
“สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่า การจัดการแข่งขันโมโตจีพี รายการพีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2019 ที่จะเกิดขึ้นนั้นนอกจากจะทำให้แฟนๆ กีฬาชาวไทยและทั่วโลกมีความสุขแล้ว ยังจะเป็นอีกกลไกลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ตามนโยบาย Sport Tourism เพราะการจัดการแข่งขันระดับโลกเช่นนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก นำรายได้เข้าประเทศจากการท่องเที่ยว ทำให้เกิดรายได้หมุนเวียนจำนวนมหาศาล ไม่ใช่แค่ จังหวัดบุรีรัมย์เท่านั้น รวมไปถึงยังจังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย” นายพิพัฒน์ กล่าว