ทั้งนี้ในปีที่สองของการแข่งขัน Moto2 ณ สนามแข่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ถือเป็นครั้งที่แปดในฤดูกาลนี้ ที่เกิดการทำลายสถิติเกิดขึ้น ด้วยพลังของเครื่องยนต์ไทรอัมพ์ Moto2 แบบ 3 สูบ 765 ซีซี โดยสถิติใหม่เหล่านี้เกิดขึ้นในรอบคัดเลือก ซึ่งก็คือสถิติต่อรอบ และความเร็วสูงสุดที่ 281.9 กม./ชม. นอกเหนือจากความสูสีของการแข่งขันในปีนี้ พบว่ามีนักแข่งสี่คนได้สร้างสถิติความเร็วสูงสุดเท่ากัน ได้แก่ นิโคโล บูเลก้า (Nicolo Bulega) และ ลูก้า มารินี (Luca Marini) จากทีม Sky Racing Team VR46 รวมถึง เรมี การ์ดเนอร์ (Remy Gardner) จากทีม ONEXOX TKKR SAG และ อันเดรีย โลคาเตลลี (Andrea Locatelli) จากทีม Italtrans Racing Team
มร.สตีฟ ซาร์เจนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ เปิดเผยว่า "การแข่งขันครั้งนี้ นับว่ายอดเยี่ยมมากที่มีผู้ชนะการแข่งขัน Moto2 คนใหม่ ด้วยการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ไทรอัมพ์ ในโอกาสนี้ต้องขอแสดงความยินดีกับ ลูก้า มารินี และทีม Sky Racing VR46 อีกทั้งเรายังได้ต้อนรับนักแข่งหน้าใหม่สู่โพเดียมเป็นครั้งแรกขอแสดงความยินดีกับ อีเกร์ เลโกวนา และทีม American Racing ที่ได้ครองโพเดียมกับ แบรด บินเดอร์ ที่ได้ยืนบนโพเดียมเป็นเป็นครั้งที่ 6 ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เห็นการแข่งขันอันสูสีของนักแข่งมากฝีมือ และยังเป็นที่น่าพอใจที่พบว่ายังมีการสร้างสถิติใหม่ ๆ ในฤดูกาลนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น สถิติต่อรอบ และสถิติความเร็วสูงสุด ในสนามการแข่งขันนี้ ซึ่งสถิติทั้งหมด เกิดขึ้นด้วยเครื่องยนต์ไทรอัมพ์ Moto2 แบบ 3 สูบ 765 ซีซี สำหรับประเทศไทยเป็นถือเป็นประเทศที่สำคัญสำหรับไทรอัมพ์เป็นอย่างมาก มีพนักงานหลายคนร่วมมือช่วยกันจัดการแข่งขันครั้งนี้ และพวกเขาได้เห็นนักแข่งหลายคนที่ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมไปพร้อมกับการสร้างสถิติใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง"
อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ไทรอัมพ์ Moto2 แบบ 3 สูบ ขนาด 765 ซีซี พัฒนามาจากเครื่องยนต์ที่ติดตั้งอยู่ในไทรอัมพ์ สตรีท ทริปเปิล อาร์เอส (Street Triple RS) โดยสามารถแสดงให้เห็นถึงพละกำลังมากกว่า 140 แรงม้า รวมทั้งเสียงของเครื่องยนต์อันทรงพลังได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งนี้หลังความร้อนแรงของการแข่งขันที่จัดขึ้นในประเทศไทย การแข่งขันชิงแชมป์รายการ Moto2 จะหยุดพักเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก่อนกลับเข้าสู่การแข่งขัน 3 สนามต่อเนื่อง ซึ่งจะเริ่มที่ประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่ 18 – 20 ตุลาคมนี้ ตามมาด้วย ออสเตรเลีย และมาเลเซีย ตามลำดับ