นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “ปี 2562 ที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็น
ปีทองของแกร็บ ประเทศไทย โดยธุรกิจของเรามีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งบริการการเดินทาง บริการส่งอาหารผ่านแกร็บฟู้ด (GrabFood)บริการจัดส่งพัสดุและสิ่งของผ่านแกร็บเอ็กซ์เพรส (GrabExpress)นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าตอบสนองเทรนด์ธุรกรรมทางการเงินในยุคดิจิทัลเพื่อรองรับสังคมไร้เงินสดโดยได้เปิดตัวแกร็บเพย์วอลเล็ต (GrabPay Wallet)อย่างเป็นทางการ รวมถึงนำเสนอบริการเสริมใหม่ๆ อย่างบริการรถรับ-ส่งสำหรับลูกค้าชั้นธุรกิจผ่านแกร็บคาร์ พรีเมียม (GrabCar Premium)บริการคนขับรถยนต์ส่วนตัวอย่างแกร็บไดรฟ์ยัวร์คาร์ (GrabDriveYourCar) รวมไปถึงบริการสั่งซื้อของสดหรือสินค้าจากท็อปส์ซุปเปอร์มาร์เก็ตผ่านฟีเจอร์ Groceries
โดยปัจจุบันพื้นที่ให้บริการของแกร็บครอบคลุม20จังหวัดทั่วประเทศ และเรายังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของคนไทย”
สำหรับธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรีซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 35,000 ล้านบาทนั้น GrabFood ถือเป็นผู้เล่นรายหลักที่คอยขับเคลื่อนตลาดและสร้างโอกาสทางธุรกิจในยุคดิจิทัลให้กับพาร์ทเนอร์ร้านอาหารซึ่งเป็นผู้ประกอบการ
รายย่อยจำนวนมาก โดยนอกจากแคมเปญการตลาดที่จัดเต็มต่อเนื่องเพื่อสร้างสีสันตลอดทั้งปีแล้ว ในปีที่ผ่านมาแกร็บยังได้เริ่มขยายการให้บริการไปหัวเมืองและเมืองรองเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในจังหวัดอื่นๆ จากเดิมที่มีเพียงกรุงเทพฯ โดยใช้เวลาไม่ถึงปีในการขยายธุรกิจGrabFood ไปยัง 14 จังหวัดทั่วไทย
จนได้รับความนิยมและสามารถครองใจผู้บริโภคในจังหวัดหลักๆ ทั่วทุกภาคไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี โคราชรวมถึงหาดใหญ่ปัจจุบัน 1ใน 3 ของยอดรวมการสั่งอาหารของGrabFood มาจากกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัด
“สำหรับในปีนี้ แกร็บเตรียมรุกตลาดต่างจังหวัดต่อเนื่องโดยตั้งเป้าขยายฐานการให้บริการเพื่อให้ครอบคลุม 30 จังหวัดทั่วประเทศ ผ่านโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า ‘ศูนย์อบรมสาขาย่อย’ หรือ Mini–GC (Mini Grab Center)ซึ่งเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายธุรกิจ โดยเราเชื่อว่าโมเดลนี้จะช่วยเสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจไปยังจังหวัดท้องถิ่นและสามารถตอบสนองความต้องการของทั้งพาร์ทเนอร์และผู้ใช้บริการในแต่ละจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกที่แกร็บได้นำโมเดลนี้มาใช้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจและสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนให้กับแกร็บ
ประเทศไทยได้” นายธรินทร์ กล่าวเสริม
นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้อํานวยการธุรกิจแกร็บไบค์ และศูนย์อบรมสาขาย่อย แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “Mini-GC เป็นโมเดลธุรกิจที่แกร็บประเทศไทย ตั้งใจนำมาใช้เพื่อสร้างโอกาสให้กับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่มีศักยภาพและต้องการก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกับแกร็บโดยเจ้าของศูนย์ฯ จะมีหน้าที่ในการรับสมัครดูแล รวมถึงควบคุมมาตรฐานการให้บริการของพาร์ทเนอร์คนขับ–ส่งอาหารและประสานงานกับพาร์ทเนอร์ร้านค้า โดยแกร็บจะคอยให้การสนับสนุนด้านการฝึกอบรมและเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาศักยภาพ พร้อมมีทีมงานที่คอยดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด และประเมินผลคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการอย่างต่อเนื่อง”
ผู้ประกอบการที่จะร่วมเปิดศูนย์ Mini-GC จะต้องผ่านการพิจารณาของแกร็บใน3 ด้านภายใต้หลักการ3 ท.อันได้แก่ 1) ทุน คือต้องมีเงินทุนตั้งต้นและมีสถานะทางการเงินมั่นคง 2) ที่ คือมีความสามารถในการจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อเปิดศูนย์ฯและสุดท้าย 3) ทัศนคติ คือจะต้องมีแนวคิดของการเป็นผู้ประกอบการสมัยใหม่และสอดคล้องกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของแกร็บเพื่อให้สามารถพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกับบริษัทได้ในระยะยาว ทั้งนี้ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาแกร็บได้เริ่มทดลองใช้โมเดลดังกล่าวในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบริหารธุรกิจและขยายการให้บริการ โดยได้รับเสียงตอบ
รับที่ดีจากพาร์ทเนอร์คนขับและพาร์ทเนอร์จัดส่งอาหาร-พัสดุ ปัจจุบัน แกร็บมี Mini-GC จำนวนทั้งสิ้น24 ศูนย์ โดยตั้งเป้าขยายจำนวนไปในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเท่าตัวภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการขยายตัวของธุรกิจที่วางไว้
“การส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อยและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมถือเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักในการดำเนินธุรกิจของแกร็บที่เรียกว่า Grab For Good หรือแกร็บเพื่อชีวิตที่ดีกว่าโดยเรามุ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาทักษะและเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับทุกคนที่อยู่ในระบบนิเวศธุรกิจของแกร็บ ไม่ว่าจะเป็น พาร์ทเนอร์คนขับ-ส่งอาหาร พาร์ทเนอร์ร้านค้า รวมไป
ถึงเจ้าของศูนย์ Mini-GC ด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถก้าวทันและเติบโตไปพร้อมเศรษฐกิจในยุคดิจิทัลเราเชื่อมั่นว่า โมเดล Mini-GC นี้ไม่เพียงแต่จะช่วยผลักดันการเติบโตทางธุรกิจให้กับแกร็บประเทศไทย แต่ยังจะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าและสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์4.0”นายธรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย