มิโนรุ อามาโนะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2554 Suzuki (ซูซูกิ) ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย แม้ในสภาวะวิกฤติครั้งนี้ก็เช่นกัน เราจึงมุ่งมั่นเพื่อตอบแทนสังคมไทยให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน จึงได้จับมือกับผู้จำหน่ายรถยนต์ Suzuki ทุกราย ริเริ่มโครงการแครี ปันสุข และบริการฉีดยาฆ่าเชื้อฟรี เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วง COVID-19 รวมถึงช่วงสถานการณ์น้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ ทางผู้จำหน่ายก็ทำการปรับแต่งรถยนต์ Suzuki เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยอีกด้วย
จากรายงานผลการดำเนินงานในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2563 ซึ่งยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 มาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายสะสมจำนวนทั้งสิ้น 19,623 คัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มรถยนต์นั่งอยู่ที่ 3.22 % ซึ่งมีอัตราปรับตัวลดลง 4 % เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2562 ซึ่งมียอดจำหน่ายอยู่ที่ 20,426 คัน แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาพรวมของยอดขายรถยนต์ในตลาด Suzuki มีอัตราการหดตัวน้อยกว่าตลาดเป็นอย่างมาก
ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัส COVID-19 ยอดการจำหน่ายรถยนต์ Suzuki ได้รับผลกระทบไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเพราะ Suzuki มีสินค้าคุณภาพที่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย แต่ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ Suzuki Celerio (ซูซูกิ เซเลรีโอ) รถยนต์นั่งขนาดคอมแพคท์ กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในหมู่ผู้บริโภคที่มองหาความเป็นส่วนตัวในการเดินทาง และต้องการรักษาระยะห่างทางสังคม ในราคาที่สามารถจ่ายได้ และมีอัตราการผ่อนต่อเดือนที่ไม่สูงมากนักท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงนี้
อีกส่วนก็คือ การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในช่วงเดือนกรฎาคมที่ผ่านมา อย่าง Suzuki XL7 (ซูซูกิ เอกซ์แอล 7) รถยนต์ครอสส์โอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง สำหรับครอบครัวยุคใหม่ ซึ่งได้รับผลตอบรับเกินคาดมีผู้บริโภคให้ความสนใจ และแสดงความจำนงค์ในการจับจองเพื่อเป็นเจ้าของจำนวนมาก จนทำให้ในช่วงแรกมียอดแบคออเดอร์ถึงเมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมาถึง 1,150 คัน
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ Suzuki ในช่วง 10 เดือนของปี 2563 (มกราคม-ตุลาคม 2563) แบ่งตามรุ่นจะพบว่า รถยนต์ที่ยังคงได้รับความนิยม ได้แก่
- Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) สปอร์ทอีโคคาร์ มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 7,957 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 74.23 %
- Suzuki Celerio รถยนต์นั่งขนาดคอมแพคท์คุณภาพเกินตัว มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 3,229 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 293 %
- Suzuki Ciaz (ซูซูกิ ซีอัซ) พรีเมียมอีโคคาร์ซีดาน มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 2,520 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 70.83 %
- Suzuki Ertiga (ซูซูกิ แอร์ติกา) ยนตรกรรมอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 2,407 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 79.31 %
- Suzuki XL7 ใหม่ รถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง มียอดจำหน่ายนับตั้งแต่การเปิดตัว อยู่ที่ 1,471 คัน
- Suzuki Carry (ซูซูกิ แครี) รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์เปิดประบะท้ายได้ 3 ด้าน มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 1,989 คัน สามารถรักษาระดับตัวเลขจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 100.56 %
- Suzuki Jimny (ซูซูกิ จิมนี) รถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดเล็กมียอดจำหน่ายอยู่ที่ 50 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 147.06 %
โดยจากตัวเลขยอดจำหน่ายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แม้จะมีรถยนต์ในบางรุ่นมีอัตราการหดตัวลงจากปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมียอดจำหน่ายในรุ่นอื่นเติบโตขึ้นมาทดแทนได้ จึงส่งผลให้ตัวเลขในภาพรวมของ Suzuki ไม่ตกลงมากนัก จึงทำมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดจำหน่ายรถยนต์ภายในปีนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้จำนวน 25,000 คัน ซึ่งคิดอัตราเติบโต 5 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยที่เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์โดยรวมในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 760,000 คัน หดตัวลง 25 % ซึ่งแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา
วัลลภ ตรีฤกษ์งาม กรรมการบริหารด้านการขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบว่าลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ในช่วงกลางปีเพื่อรอดูความชัดเจน และความมั่นคงในหลายด้านของชีวิต แต่เมื่อสถานการณ์หลายอย่างคลี่คลายลง การกลับมาของกำลังซื้อน่าจะเริ่มดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายปีนี้ Suzuki มีการเตรียมความพร้อมของกลยุทธ์ด้านการตลาด และการขาย เพื่อให้สามารถแข่งขันกับตลาดในช่วงปลายปีซึ่งเป็นฤดูแห่งการซื้อ-ขายรถยนต์ รวมถึงตอบรับความต้องการของลูกค้าในยุคใหม่ได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
จากปัญหาการอนุมัติสินเชื่อที่มีความยากขึ้นของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติ COVID-19 การเดินหน้าตามแผนงานที่เราใช้ในช่วงที่ผ่านจึงยังเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยการพุ่งเป้าไปยังลูกค้าได้อย่างตรงกลุ่ม ตรงกับสภาพเศรษฐกิจในช่วงนี้ อย่างเช่น กลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ นับว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และมีความต้อง การที่จะมีรถยนต์เป็นของตนเอง การเข้าถึงเพื่อนำเสนอสินค้า และบริการได้อย่างตรงใจ ก็มีโอกาสในการสร้างยอดขายได้เป็นอย่างมาก
ในอนาคต Suzuki ยังมีแผนที่จะพัฒนา และยกระดับพนักงานให้เข้าถึงช่องทางออนไลน์ปรับพฤติกรรมการขาย และการดูแลให้เข้ากับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคให้มีความแม่นยำ และโดนใจมากยิ่งขึ้น ส่วนด้านงานบริการหลังการขาย Suzuki มุ่งมั่นพัฒนาร่วมกับทางผู้จำหน่ายมาโดยตลอด มุ่งหวังที่จะสร้างคุณค่าให้แก่งานบริการเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง โดยล่าสุด แม้จะอยู่ในช่วงที่หลายธุรกิจได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่กลับยังมีนักธุรกิจที่เชื่อมั่น และให้ความสนใจเข้าร่วมลงทุนกับ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย)ฯ จนทำให้เราเตรียมที่จะขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายเพื่อดูแลลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เกินกว่า 130 แห่ง ภายในเดือนมีนาคม 2564 นี้
สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 37 หรือ Thailand International Motor Expo 2020 ซึ่งเป็นงานจัดแสดงรถยนต์เพื่อขายงานสุดท้ายของปี จึงทำให้มีการแข่งขันสูงอย่างยิ่ง โดยภายในงาน Suzuki ได้เตรียมไฮไลท์ คือ การจัดแสดง Suzuki Swift GL Max Edition รถแฮทช์แบคอีโคคาร์รุ่นตกแต่งพิเศษ ที่เพิ่งทำการเปิดตัวไปไม่นานซึ่งจะมาพร้อมโปรโมชันแคมเปญสุดพิเศษ และยังมี Suzuki รุ่นอื่นๆ ที่ตกแต่งเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการตกแต่งรถตามสไตล์ของตัวเอง
แคมเปญพิเศษภายในงานสำหรับลูกค้าทุกท่าน เพื่อให้สามารถเป็นเจ้า ของรถยนต์ Suzuki ทุกรุ่นได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อลูกค้าจองรถยนต์ Suzuki ทุกรุ่น ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 37 จะได้รับสิทธิพิเศษทันที ขับฟรี 90 วัน ! ส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่าสูงสุด 50,000 บาท (แล้วแต่รุ่น) ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นที่ 0 % (แล้วแต่รุ่น) พร้อมฟรี ประกันภัยชั้น 1 และสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมายแบบไม่ต้องลุ้น
วัลลภ กล่าวอีกว่า ด้วยสถานการณ์หลายอย่างเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงบรรยากาศที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อรถได้ง่ายในช่วงปลายปีจะกลับมาสู่ภาวะปรกติเช่นเดิม เราจึงคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างยอดจองภายในงานปีนี้ได้ถึง 2,500 คัน (โดยปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้ยอดจองที่จำนวน 2,308 คัน)
ทั้งนี้ Suzuki มีความต้องการให้ผู้บริโภคทุกคนเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพดี และการบริการที่ดีทั้งก่อนและหลังการขาย เราจึงไม่ได้มุ่งหวังแค่จะสร้างยอดขายให้เติบโตเพียงเท่านั้น แต่เราต้องการที่จะสร้างให้ Suzuki เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อถือ และไว้วางใจเดินคู่เคียงข้างคนไทยต่อไปในอนาคต