การทดสอบ NVH ที่แตกต่างโดยฟอร์ด
ค่า NVH นับเป็นหัวใจสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์การขับขี่และการโดยสาร รวมถึงความรู้สึกปลอดภัยในการขับขี่เพราะความกระด้างของรถยนต์ก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าแก่ผู้ขับขี่ได้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ฟอร์ดจึงได้นำเอาระบบเสมือนจริงเข้ามาใช้ในการทดสอบNVH ในทุกขั้นตอนของการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาเหนือ ข้อมูลเกี่ยวกับNVH ของรถจะถูกนำมาใช้ในการพิจาณารถรุ่นใหม่ๆ ว่ามีคุณสมบัติดีพอที่จะได้รับการพัฒนาในขั้นตอนต่อไปแล้วหรือยัง
ระบบเสมือนจริงในการทดสอบNVH ของฟอร์ดมี 3 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้
การทดสอบผ่านคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป - การทดสอบนี้คล้ายกับการติดตั้งเกมรถแข่งลงในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวโดยอุปกรณ์ที่จำเป็นในการทดสอบประกอบด้วยหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลได้เร็วพวงมาลัยและหูฟังเพื่อให้ทีมNVH นำรถมาทดลองในสถานการณ์จำลองที่หลากหลายเพื่อการสังเกตการณ์และการทดสอบที่สะดวกรวดเร็ว
การทดสอบรถทั้งคันผ่านระบบเสมือนจริง–วิธีนี้ช่วยให้วิศวกรได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนการขับรถจริงๆ ด้วยการเข้าไปนั่งและขับรถในระบบเสมือนจริงที่มีการจำลองค่าNVHต่างๆ ทั้งเสียงภายในตัวรถและการสั่นสะเทือนที่เสมือนการขับขี่บนถนนในสภาวะปกติ
การติดตั้งระบบเสมือนในรถที่ใช้งานจริง– นี่คือเทคโนโลยีเสมือนจริงสุดล้ำและใหม่ล่าสุดที่ฟอร์ดนำมาใช้ในการทดสอบNVHโดยการกำหนดค่าNVHที่ต้องการทดสอบผ่านคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ก่อนจะดาวน์โหลดข้อมูลลงในอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อกับโมดูลที่ติดตั้งอยู่ในห้องโดยสารของรถที่ขับบนถนนจริงๆโดยโมดูลดังกล่าวจะผลิตเสียงเสมือนกับเสียงของเครื่องยนต์และท่อไอเสียของรถรุ่นที่ต้องการทดสอบภายใต้สถานการณ์และสภาพถนนจริงที่กำลังขับอยู่ ดังนั้น ในขณะขับ ผู้ขับจึงได้รับความรู้สึกประหนึ่งว่ากำลังขับรถอีกคัน ยกตัวอย่างเช่น วิศวกรอาจจะนำค่าเสียงของฟอร์ด มัสแตง รุ่นใหม่หลายๆ แบบ มาติดตั้งไว้ในรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ของตนเอง เพื่อประเมินและปรับจูนเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงค่า NVHต่างๆ ของรถรุ่นใหม่ ระหว่างการขับรถของตัวเองจากที่ทำงานกลับบ้าน
“การทดสอบด้วยระบบเสมือนจริงช่วยให้เราระบุปัญหาระหว่างการทดสอบผลิตภัณฑ์ได้ง่ายมาก เราแยกได้เลยว่าเสียงอะไรมีที่มาจากชิ้นส่วนไหนบ้าง ด้วยการค่อยๆ ทดสอบเสียงทีละส่วนแยกกัน ไม่ว่าจะเป็นเสียงลม เสียงล้อบดถนน หรือเสียงเครื่องยนต์โดยข้อมูลที่เก็บได้จากการระบุที่มาของเสียงนี้ มีส่วนอย่างมากในการกำหนดทิศทางการแก้ปัญหาให้กับทีมทดสอบได้อย่างรวดเร็ว เพราะบางครั้งเราอาจจะได้ยินเสียงหรือรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนที่แปลกๆ แต่บอกไม่ถูกว่าสัมผัสนั้นมีที่มาจากไหน”มร. โอมาโฮนีกล่าว
ข้อดีของการทดสอบ NVHด้วยระบบเสมือนจริง
ก่อนที่จะมีการนำระบบเสมืองจริงมาใช้ ทีม NVH จะต้องใช้รถต้นแบบร่วมกับทีมวิศวกรพัฒนาผลิตภัณฑ์ การที่รถต้นแบบต้องถูกถอด ประกอบ และปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนอยู่เสมอ ส่งผลอย่างมากต่อการทดสอบ NVH แต่เมื่อมีการนำระบบเสมือนจริงมาใช้สมาชิกในทีมทุกคนก็สามารถรวมตัวกันในห้องเดียวเพื่อช่วยกันฟังและตัดสินใจเสียงแบบต่างๆ ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องขอยืมรถต้นแบบมาจากทีมวิศวกรพัฒนาผลิตภัณฑ์อีกต่อไป
การใช้ระบบดังกล่าวยังช่วยลดเวลาการทำงานและต้นทุนในการพัฒนารถยนต์อีกด้วย โดย มร. คาร์ล แลนด์กราฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคส่วนการทดสอบ NVH อธิบายเพิ่มเติมว่า “การทดสอบ NVH แบบดั้งเดิมจะต้องถอดท่อไอเสียจากรถคันหนึ่งไปใส่ทดสอบในรถอีกคันซึ่งใช้เวลานาน และทำให้จำแนกความแตกต่างของเสียงได้ไม่ดีนักเนื่องจากไม่สามารถทดสอบให้เสร็จภายในวันเดียวกันได้ แต่ปัจจุบันเราทดสอบเสียงหลากหลายแบบได้ด้วยระบบเสมือนจริงเพียงคลิกเมาส์ไม่กี่ครั้งเท่านั้น”
ความแม่นยำของระบบเสมือนจริง
ฟอร์ดใช้ประโยชน์จากการสั่งสมข้อมูล และกระบวนการปฏิบัติงานที่ดีที่สุดมาสร้างระบบทดสอบ NVH แบบเสมือนจริง โดยได้ทำการวิเคราะห์ในเชิงลึกกว่ามากการทดสอบ NVH ตามมาตรฐานในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ทั่วไปการริเริ่มใช้ระบบเสมือนจริงตั้งแต่ช่วงแรกๆ ช่วยให้ฟอร์ดสามารถเสริมสร้างความแม่นยำให้กับข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างดีเยี่ยม
“ทีมฟอร์ดในทวีปอเมริกาเหนือ ได้นำรถรุ่นที่ผลิตขายจริงมาแยกชิ้นส่วนและประกอบขึ้นใหม่ทั้งหมดผ่านระบบเสมือนจริง จากนั้นจึงทดสอบค่า NVH ของรถจริงเทียบกับรถในระบบจำลองจนพบว่าไม่มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย ความแม่นยำของข้อมูลนี้เอง คือเครื่องบ่งชี้ถึงคุณภาพในการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ผลลัพธ์จากระบบเสมืนจริงมีคุณภาพและแม่นยำ” มร. โอมาโฮนีกล่าว
ความท้าทายในอนาคต
พัฒนาการของระบบส่งกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี โดยเครื่องยนต์แบบใช้น้ำมันที่เราคุ้นเคยกันดี กำลังค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของทีมวิศวกร NVH อย่าง มร. โอมาโฮนี และมร. แลนด์กราฟ
“เมื่อเราเปลี่ยนไปใช้ระบบส่งกำลังแบบไฟฟ้า ความท้าทายก็จะต่างออกไปเพราะจะไม่มีเสียงของการจุดระเบิดเครื่องยนต์ และเสียงรถยนต์โดยรวมก็จะเบาลง เสียงระบบไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งใหม่ที่เราต้องศึกษา ขณะที่เสียงภายนอกทั้งหลายที่เราคุ้นเคยเช่นเสียงถนน เสียงลมจะรู้สึกดังขึ้นมากจากความเงียบของระบบไฟฟ้า ดังนั้นการต้องเสาะหาวัสดุเก็บเสียงที่มีน้ำหนักเบาจึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญ” มร. โอมาโฮนี กล่าว
“นอกจากนี้ ยังมีเสียงภายนอกอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึง อาทิ เสียงที่เป็นเอกลักษณ์บ่งบอกตัวตนของรถแต่ละรุ่นขณะกำลังเคลื่อนเข้าใกล้หรือขับผ่านไป รวมทั้งข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับระดับเสียงที่รถยนต์ไฟฟ้าต้องมี เพื่อเตือนให้คนเดินเท้าทราบเมื่อมีรถยนต์เคลื่อนมาใกล้” มร. แลนด์กราฟกล่าวเสริม