จำนวนผู้เข้าชม : 658 ครั้ง
End Page
 
 
รถมือสองอ่วม!ราคาร่วง30% พิษรถคันแรก

รถคันแรกพ่นพิษสะเทือนตลาดรถมือสอง ทำระบบพังระนาว ล่าสุด เต็นท์รถก่ายหน้าผาก ราคารถเก๋ง1500-2000 ซีซี  ร่วง 20-30% กดราคาขายเข้าต่ำลง บางเต็นท์หยุดซื้อไม่เก็บสต๊อก  สหการประมูลชี้ราคาต่ำยั่วใจ น่าช้อนซื้อ ก่อนดีดกลับช่วงไตรมาส 4

    สืบเนื่องจากที่รัฐบาลมีมาตรการรถคันแรกออกมาเมื่อเดือนกันยายน ปี 2555  ทำให้ตลาดรถมือสองได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้น เมื่อผู้บริโภคหันไปซื้อรถใหม่มากขึ้นโดยเฉพาะรถประหยัดพลังงาน(อีโคคาร์)ที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้  ทำให้ผู้ประกอบการเต็นท์รถทั่วประเทศที่มีราว 2 หมื่นรายได้รับผลกระทบมากขึ้น เนื่องจากในตลาดรถมือสอง ที่ซื้อขายกันเองและจากเต็นท์รถจะมีปริมาณรถหมุนเวียนอยู่ในตลาดราว 1 ล้านคัน/ปี โดยมีกลุ่มผู้ประกอบการเต็นท์รถทั่วประเทศประมาณ 2 หมื่นราย
    ล่าสุด"ฐานเศรษฐกิจ"ทำการสำรวจเต็นท์รถมือสอง ในพื้นที่ย่านคลองตัน  ถนนพัฒนาการ ถนนกาญจนาภิเษก และย่านถนนเทพารักษ์พบว่า  ภาพรวมตลาดอยู่ในภาวะขาลง โดยเต็นท์รถมือสอง มีสต๊อกรถเก่าค้างอยู่จำนวนมาก และมีราคาต่ำลงอย่างฮวบฮาบนับแต่ที่มีมาตรการรถคันแรกออกมา   ต่อเรื่องนี้แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการเต็นท์รถรายใหญ่ย่านถนนกาญจนาภิเษก  ยอมรับว่าขณะนี้ระบบราคาในตลาดรถมือสองพังไปแล้ว  โดยมีสาเหตุมาจากที่เกิดแรงซื้อเทียม คนไม่ได้ซื้อจริงแต่ต้องการเงินภาษีจากรัฐบาลโดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อรถป้ายแดงแล้วได้คืนภาษีสูงถึง 1 แสนบาทต่อคัน จะเกิดแรงซื้อเทียมเกิดขึ้นมากเพราะได้คืนภาษีสูง  ขณะที่เวลานี้ก็เริ่มมีรถคันแรกที่ถูกยึดรถเกิดขึ้นแล้ว ขณะที่ไฟแนนซ์ก็หนักใจ  เพราะเคยจัดไฟแนนซ์ที่ 5 แสนคันก็ค่อยๆลดลงเหลือ 4 แสนคัน
   


"เวลานี้ผู้ประกอบการย่านถนนกาญจนาภิเษกซึ่งเป็นศูนย์รวมเต็นท์รถมือสอง เป็นอันดับ 1 ของกทม.กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกันเพราะพิษนโยบายรถคันแรก และนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทำให้เต็นท์รถมีรายจ่ายสูงขึ้น ขณะที่รายได้ลดลง ซึ่งบริษัทเองเวลานี้ยอดขายรถหายไปแล้ว 50% ต่อเดือน จากเดิมที่ขายได้เดือนละ 30  คันบวกลบ ขณะนี้เหลือประมาณ 10 คันต่อเดือนเท่านั้น  "
    สอดคล้องกับที่นายวิทยา อนุชาชาญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิทอินเตอร์เทรด จำกัด  เต็นท์รถรายใหญ่ย่านคลองตัน เปิดเผยว่า ขณะนี้ผลกระทบกับบรรดาเต็นท์รถรุนแรงยิ่งขึ้น ที่เห็นชัดเจนคือมูลค่าสต๊อกรถยนต์ในเต็นท์ลดลงไปแล้วโดยเฉลี่ย 20-30% เป็นราคาที่บวกภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว  ยกตัวอย่างเช่น รถเก๋งเล็กขนาดเครื่องยนต์ 1500 ซีซี ที่สต๊อกไว้ในเต็นท์ ราคาเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 4.3 แสนบาทต่อคัน ถูกกดราคาลงมาเหลือ 3.3 แสนบาทต่อคัน  รถเก๋งนั่งขนาด 1600-2000 ซีซีราคาลดลงแล้ว 25-30%   เช่น รถโตโยต้า คัมรี่ ปี 2009 ราคาสต๊อกปีที่แล้วอยู่ที่ 9 แสนบาทต่อคัน ก็ลงมาอยู่ที่กว่า 7 แสนบาทต่อคัน  หรือโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์รุ่นท็อป ปี 2010 จากที่เคยซื้อเข้าเต็นท์ในราคาบวกภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว 1.1-1.15 ล้านบาทต่อคันเมื่อปีที่แล้ว ล่าสุดราคาร่วงลงมาอยู่ที่ 9-9.5 แสนบาทต่อคัน เช่นเดียวกับรถฮอนด้าซีอาร์-วีปี 2009 ราคาปีที่แล้วรวมภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 9 แสนบาทต่อคัน ก็ลงมาอยู่ที่ 7.2-7.5 แสนบาทต่อคัน ส่วนรถมือ 2 ที่กระทบไม่มากจะเป็นรถปิกอัพ เพราะเป็นรถที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ที่ตลาดยังต้องการอยู่จริง  และนโยบายรถคันแรกก็ได้คืนภาษีไม่มากหรือได้คืนภาษีราว 1-2 หมื่นบาทต่อคันเท่านั้น
     อย่างไรก็ตามภาพรวมของตลาดในขณะนี้ ผู้ประกอบการเต็นท์รถจะขายรถได้ต่อเดือนเพียง 10-15%ของสต๊อกรถที่มีอยู่ในแต่ละเดือน  จากเดิมที่ขายรถได้ 30-40%ของสต๊อกรถที่มีอยู่ ทำให้ผู้ประกอบการตกอยู่ในภาวะขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกที่ลดลงต่อเดือน ขณะที่ยอดขายก็ไม่เพียงพอกับรายจ่ายต่อเดือน ดังนั้นในบางพื้นที่จะเห็นว่ามีผู้ประกอบการเต็นท์รถบางรายหยุดซื้อไม่เก็บ สต๊อก  บางรายปิดกิจการไปแล้ว และอยู่ระหว่างตัดสินใจปิดเต็นท์รถมือสองแล้วหันไปทำธุรกิจอื่นแทน บางรายที่มีสายป่านยาวก็อยู่ในช่วงรอจังหวะระยะยาว 5-6 เดือนจากนี้ไป เพื่อดูโอกาสที่ตลาดรถมือสองจะพลิกกลับมาอีกครั้งเมื่อกำลังซื้อกลับมาในช่วงปลายปี
    ด้านนายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการประมูลรถยนต์ และรถจักรยานยนต์รายใหญ่  เปิดเผยว่า   ราคารถมือสองในตลาดมีการปรับลดลงเพิ่มขึ้นโดยประมาณ 5% ยกตัวอย่างจากเดิมรถมือสองอายุ 1ปี ราคาจะปรับลดลงมา 20 % ก็เพิ่มขึ้นเป็น 25% และจากเดิมที่สูงสุด 25 % ก็เพิ่มขึ้น 30% โดยราคารถประเภทที่มีการปรับราคาลดลงมากที่สุดคือกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จาก รถคันแรกในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นรถอีโคคาร์ รถเครื่องยนต์ไม่เกิน 1.5 ลิตร
      "รถเก๋งหรือรถยนต์นั่งมือ 2 ราคาตกมาก เพราะปีที่ผ่านมารถใหม่หรือรถคันแรกดึงกำลังซื้อไปหมด พอมาถึงต้นปีนี้ก็จะเห็นว่าค่ายรถต่างๆก็มีการอัดโปรโมชันแจกของแถม รวมไปถึงดอกเบี้ย 0% แสดงให้เห็นว่ากำลังซื้อรถใหม่มันลดลงมาก และส่งผลกระทบกับรถมือ 2 ด้วยเช่นกัน กล่าวคือดีมานด์ลด แต่ซัพพลายที่เข้ามาในตลาดรถมือ 2 มีเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคารถต้องปรับลด "
    นายเอกพิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ราคารถมือ 2 ที่ปรับลดลงในตอนนี้ถือเป็นโอกาสของผู้บริโภคที่จะได้เป็นเจ้าของรถในราคา ที่ถูก เพราะหากนำไปเปรียบเทียบกับราคารถมือ 2 เมื่อปี 2553 -2554 ถือว่าลดลงมาก จาก 15% ปรับมาเป็น 25% ซึ่งสหการประมูลคาดการณ์ว่าภาพรวมของตลาดรถมือ 2 จะเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
    "ราคารถทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์จะยังคงปรับตัวลง เพราะในเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเปิดเทอมของนักเรียน ก็จะมีการจับจ่ายใช้สอย และพอมาถึงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน ถือเป็นช่วงโลว์ซีซัน ราคารถก็ยังคงทรงๆไม่ฟื้นตัว แต่คาดว่าไตรมาสที่ 4 หากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ ดีขึ้น โดยราคาสินค้าทางการเกษตรยังดีต่อเนื่อง และรายได้ประชากรดีขึ้น ราคารถมือสองก็น่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติ"
    ในส่วนของสหการประมูลมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับรถมือ 2 ที่จะเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก ด้วยการลงทุนประมาณ 50 ล้านบาทเพื่อขยายพื้นที่เพิ่มกว่า 14ไร่ ซึ่งจะสามารถจอดรถได้มากกว่า 800-900 คัน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมนี้ นอกจากนั้นแล้วยังมีการเปิดประมูลในวันพฤหัสบดีเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน จากเดิมที่เปิดในวันเสาร์
    "หน้าที่ของเราเป็นโบรกเกอร์ เมื่อราคารถมือ 2 หล่นลงมา เราก็ไม่ได้เปรียบสักเท่าไร แต่เราจะได้เปรียบในแง่ของปริมาณรถที่เข้ามามากขึ้น เราจะได้ค่าธรรมเนียมมากกว่า แต่คนที่ได้รับประโยชน์จริงๆคือลูกค้าทั่วไป และลูกค้าเต็นท์รถที่มาประมูลรถจากเราเพื่อนำไปจำหน่ายต่อไป ซึ่งในส่วนของสหการประมูลก็มีการพัฒนาและเพิ่มพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับลูกค้า โดยขยายวันเพิ่ม และคาดว่าจะทำให้ยอดการประมูลเพิ่มขึ้น จากเดิมในวันเสาร์จะประมูลได้ประมาณ 800 คัน และในวันพฤหัสบดีคาดว่าจะมียอดประมาณ 100 คัน"



     นายเอกพิทยา กล่าวว่า ด้านรถคันแรกที่มีกระแสข่าวเรื่องการยึดรถเป็นจำนวนมากนั้น มองว่ายังอยู่ในสัดส่วนที่ปกติ ไม่มากเท่าไร แต่ที่น่าเป็นกังวลคือไฟแนนซ์รายเล็กๆที่มีการปล่อยสินเชื่อ คาดว่าจะได้รับผลกระทบหากมีการยึดคืน โดยอาจจะทำให้สัดส่วนของเอ็นพีแอลที่จากเดิมอยู่ที่ 3% เพิ่มขึ้นมาเป็น 5% แต่ในภาพรวมๆแล้วยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง โดยสหการประมูลได้มีการซื้อรถคันแรกที่ถูกยึดเข้ามาแล้วมากกว่า 10 คัน
    ข้อมูลจากกรมสรรพสามิต  ระบุว่า ยอดการคืนเงินภาษีในโครงการรถคันแรก นับตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2555 - 25 เมษายน 2556 พบว่ามีการคืนเงินไปแล้ว จำนวน 61,720 ราย จากจำนวนผู้เข้าโครงการทั้งสิ้น 1.25 ล้านราย และคืนเงินภาษีไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 4,984,404,932 บาท ขณะที่ผู้ที่ขอยกเลิกมีจำนวน 3,120 ราย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,839
วันที่  28  เมษายน - 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556



ผู้แต่ง / แหล่งที่มา : จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,839  
 ผู้บันทึก : กองบรรณาธิการ รถ weekly
date : [ 20 พ.ค. 2556 ]
 


 
 

 
 

 
 

 
 

 
 

 
 

ข่าวสารยานยนต์

error=select * from newtopic order by q_id desc