เบรก !! เรื่องสำคัญที่ทุก ๆ คนมองข้าม

ข้อมูลโดย http://auto.sanook.com/

วิวัฒนาการของเบรกในรถยนต์  เริ่มมาจากระบบดรัมเบรก  ต่อมาพัฒนาเป็นระบบดิสก์เบรก  ซึ่งช่วยให้การเปลี่ยนผ้าเบรกง่ายขึ้น  ไม่ต้องปรับตั้งเบรก  รวมถึงประสิทธิภาพในการเบรกก็ดีขึ้นด้วย  เพราะระบายความร้อนได้ดีกว่าระบบดรัมเบรก  แต่ในปัจจุบันนี้  ได้มีการพัฒนาระบบเบรกให้ดีขึ้นไปอีกขั้น  เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่  นั่นก็คือ  ระบบเบรกแบบ  ABS  (Antilock  Brake  System)  เป็นระบบเบรกที่ช่วยแก้ปัญหาล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน  โดยการควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกให้อยู่ในระดับที่พอดีกับการเบรก  จึงทำให้ผู้ขับขี่มีความปลอดภัยสูงสุด


ถึงแม้ว่าระบบเบรกจะพัฒนาไปอย่างไร  แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ  “น้ำมันเบรก”  ซึ่งน้ำมันเบรกทำหน้าที่เป็นตัวกลางส่งแรงดันจากแม่ปั๊มเบรก  ไปยังลูกสูบเบรก  โดยขณะที่เราเหยียบเบรก  ความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีระหว่างผ้าเบรกกับจานหรือดุมล้อ  จะถ่ายเทผ่านก้านดันผ้าเบรก  และส่งต่อไปให้น้ำมันเบรก  ทำให้น้ำมันเบรกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น  เมื่อเราต้องเหยียบเบรกอย่างแรงกะทันหัน  หรือเหยียบเบรกอย่างต่อเนื่อง  ภายใต้ความเร็วสูง  ความร้อนที่ถ่ายเทสู่น้ำมันเบรกจะมีปริมาณมาก  และอาจระบายสู่ส่วนอื่นไม่ทัน  ทำให้น้ำมันเบรกอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งหากน้ำมันเบรกร้อนจนถึงจุดเดือด  น้ำมันเบรกก็จะระเหยกลายเป็นไอ  ทำให้เกิดช่องว่างอยู่ภายในระบบเบรก  ช่องว่างนี้ทำให้ระบบเบรกไม่สามารถส่งแรงดันไปกระทำต่อลูกสูบเบรกให้ไปดันผ้าเบรกได้  ทำให้เกิดอาการเบรกจม  หรือเบรกไม่อยู่เวลาเหยียบเบรก  หรือเราเรียกว่า  VAPOR  LOCK  และเมื่อความร้อนในระบบเบรกลดลง  ไอน้ำมันเบรกก็เปลี่ยนสภาพเป็นของเหลว  และประสิทธิภาพในการเบรกก็จะกลับมาอีกครั้ง  ดังนั้น  จุดเดือดของน้ำมันเบรกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการเบรก


โดยปกติน้ำมันเบรกเป็นสารที่ดูดซับความชื้นจากอากาศได้ง่าย  เมื่อมีความชื้น  หรือน้ำปะปนอยู่ในน้ำมันเบรก  จะทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรกลดต่ำลง  เพราะในการใช้งาน  โอกาสที่ความชื้นจะเล็ดลอดสู่น้ำมันเบรกมีได้มากมายหลายทาง  เช่น  ความชื้นเข้าโดยการหายใจเข้า-ออกของระบบน้ำมันเบรก  หรือน้ำจากการอัดฉีดล้างเครื่องรถเล็ดลอดเข้าตรงฝากระปุกเบรก  หรืออาจเกิดจากการขับรถลุยน้ำ  โดยที่ยางกันฝุ่นสึก  หรือมีรอยรั่วซึม  น้ำก็สามารถเข้าสู่ระบบเบรกได้ตรง  ดังนั้น  เมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ  น้ำมันเบรกก็จะมีความชื้นสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ  ดังนั้น  น้ำมันเบรกใดที่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นได้น้อย  และเมื่อดูดซับความชื้นแล้วจุดเดือดลดต่ำลงไม่มาก  จะเป็นน้ำมันเบรกที่มีคุณภาพสูง 


นอกจากนี้  ผลต่อยางและส่วนโลหะอื่นในระบบเบรกก็เป็นสิ่งที่สำคัญ  ที่จะบ่งถึงคุณภาพของน้ำมันเบรก  เพราะจะมีผลโดยตรงต่ออายุการใช้งานของลูกยางแม่ปั๊ม  และลูกปั๊มเบรก  ซึ่งก็จะมีผลถึงประสิทธิภาพในการเบรกเช่นกัน  น้ำมันเบรกที่มีคุณภาพสูง  ต้องไม่ทำให้ลูกยางแม่ปั๊มเบรกคลัตช์เสียเร็ว  และต้องไม่กัดกร่อนส่วนโลหะอื่น ๆ ในระบบ  ซึ่งหากเกิดการกัดกร่อน  จะทำให้มีเศษสนิมโลหะหลุดร่อนออกมาอยู่ในน้ำมันเบรก  และจะทำให้ลูกยางปั๊มเบรกเป็นรอยขีดข่วน  เกิดการรั่ว  และเสียแรงดัน  ส่งผลให้เบรกไม่อยู่  หรือที่เราเรียกกัน ว่า  เบรกแตกนั่นเอง


การตรวจเช็คระบบเบรก  สามารถทำได้ง่าย ๆ  โดยการตรวจสอบระดับของน้ำมันเบรกว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่  ซึ่งหากน้ำมันเบรกมากเกินขีดสูงสุด  อาจสันนิษฐานได้ว่ามีน้ำเข้าไปปนเปื้อน  แต่หากน้อยเกินขีดต่ำสุด  อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการรั่วซึมในระบบเบรก  หรืออาจเกิดจากผ้าเบรกสึกมาก  ซึ่งทั้ง  2  กรณี  จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง  ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเบรกไม่อยู่  หรือที่เราเรียกกันว่าเบรกแตกได้  นอกจากต้องตรวจระดับน้ำมันเบรกเป็นประจำแล้ว  เราควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุก ๆ  1-2  ปี  แม้ว่าจะไม่มีการรั่วหรือลดระดับลงอย่างใดก็ตาม  เพื่อให้มั่นใจได้ว่า  หากเกิดเหตุกะทันหัน  เบรกจะยังตอบสนองได้เป็นอย่างดี  และข้อควรระวัง  คือ  ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรนำน้ำมันเบรกที่ต่างยี่ห้อ  หรือต่างมาตรฐานกัน  มาใช้งานผสมกัน  เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกริยาทางเคมี  ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณสมบัติของน้ำมันเบรกเปลี่ยนแปลงไป  ดังนั้น  หากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อ  หรือใช้น้ำมันเบรกที่มาตรฐานสูงขึ้น  แนะนำให้ทำการล้างระบบเบรกก่อนทำการเปลี่ยนถ่ายครับ