เมื่อพูดถึงเครื่องยนต์ เราเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามคงต้องเคยได้ยินคำว่า "แรงม้า" มาผ่านหูกันบ้าง แม้แต่กับคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรถก็ตาม แต่แรงม้าคืออะไร ทำไมมาอยู่ในรถ ทั้งๆที่รถเราก็ไม่ได้มีม้าเทียมให้ฟาดแซ่แบบคาวบอยเสียหน่อย...
คำว่า "แรงม้า" เป็นคำที่เกิดขึ้นในช่วงยุค ปฎิวัติอุตสาหกรรม ที่ช่วงนั้นการทำงานต่างๆ ยังต้องใช้แรงงานจากสัตว์เป็นสำคัญ แต่ก็มีการคิดค้นเครื่องยนต์กลไกต่างๆขึ้น โดยเฉพาะเครื่องจักรไอน้ำที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญในยุค แต่คนจำนวนมากก็ยังไม่เห็นว่าเครื่องจักรไอน้ำมีความสำคัญมากนัก ทำให้เกิดการคิดค้นการบัญญัติสิ่งที่สามารถเปรียบเทียบกำลังของเครื่องยนต์กับแรงงานของสัตว์ขึ้นมา เพื่อแสดงความทรงพลังของเทคโนโลยียุคใหม่ โดยเปรียบเทียบกับม้าเนื่องจากเป็นที่นิยมนำมาในการทำงาน
เจมส์ วัตต์ เป็นผู้ที่ทำให้คำนี้เกิดฮิตขึ้นมาในสังคม แต่เขาก็ได้ไอเดียมาจาก โทมัส ซาเวรี่ ที่ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Miner's Friend โดยเขากล่าวว่า "ถึงกระนั้นเครื่องยนต์สามารถทำงานได้เร็วเทียบเท่ากับการใช้ม้า 2 ตัว ทำงานในเวลาเดียกัน และอาจจะสามารถต่อยอดสู่การให้กำลังเท่ากับม้า 10 หรือ 12 ตัว ผมจึงกล่าวว่า ต้องสร้างเครื่องยนต์ใหญ่ขนาดไหนจึงจะสามารถให้กำลังได้เทียบเท่าม้า 8 ,10 หรือ 12 ตัว"
คำพูดของโทมัส กลายเป็นส่วนสำคัญที่มาของแรงม้า โดย เจมส์ วัตต์ ได้นำไอเดียนี้มาคำนวณ โดยใช้สูตรคำนวณง่ายๆ ว่า พละกำลังเท่ากับงาน /เวลา ซึ่งงานหมายถึงกำลังและระยะทาง สูตรของเขาจึงได้ออกมาว่า พละกำลัง= กำลังXระยะทาง/ เวลา และเขาได้ใช้สูตรดังกล่าวคำนวณการใช้ม้าหมุนกงล้อในโรงสี ที่คาดว่ามีน้ำหนัก 180 ปอนด์ ซึ่งเขาพบว่า 1 ชั่วโมงม้าจะหมุนได้ 144 ครั้ง นาทีละ 2.4 รอบ กับกงล้อขนาด 12 ฟุตหมายถึง ม้ามีกำลัง 32,572 ฟุตปอนด์ต่อนาที
ภายหลัง วัตต์ ได้ทำการทดลองอีกหลายครั้งทั้งกับลูกม้า และม้าพันธุ์บิวเวอร์รี่ จนท้ายที่สุดเขาตั้งค่าแรงม้าไว้ที่ 33,000ฟุตปอนด์ เป็นมาตรฐานในปีถัดมา และกลายมาเป็นมาตรฐานในการโชว์ศักยภาพของเครื่องยนต์ในเรื่องของพละกำลังตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ฟังๆ ดู "แรงม้า" อาจจะไม่มีประโยชน์ นอกจากเอาไว้เป็นแรงโม้เวลาคุยกัน แต่แรงม้า คือการบอกสมรรถนะความทรงพลังของเครื่องยนต์ ยิ่งแรงม้ามากเท่าไร ก็หมายถึงความรวดเร็วในการปล่อยแรงบิดมาก หรือจะพูดให้ง่าย ก็หมายถึงการเร่งแซง และยังรวมถึง การทำความเร็วสูงสุดเป็นสำคัญ โดยเราสามารถให้แรงม้า เป็นตัวกำกับดัชนีชี้วัดในเรื่องของความสนุกสนานในการขับขี่ของรถแต่ละคันได้อีกด้วย