เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถมากขึ้น สำหรับขั้นตอนการตรวจและวิธีการตรวจมีอะไรบ้างนั้น และท่านสามารถตรวจสภาพรถของท่านด้วยตัวท่านเองได้ เริ่มกันที่ การตรวจสภาพรถทั่วไป 7 ประการ ดังต่อไปนี้
การตรวจสภาพรถทั่วไปประการแรก คือ การตรวจสภาพความอับชื้นภายในรถ ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน ถ้ามีความอับชื้นอยู่ภายในรถท่าน อย่างน้อยมันจะมีกลิ่นอับภายในรถ ทำให้มลภาวะในห้องโดยสารต้องเสียไป นอกจากนนี้เจ้าพรมปูพื้นจะผุเปื่อยเร็วกว่าปกติ และปัญหาใหญ่ประการสำคัญที่ตามมาก็คือ จะทำให้พื้นรถผุเป็นสนิมเร็วขึ้น
ความอับชื้นมันเข้าไปในรถของท่านได้อย่างไร น้ำเข้ารถของท่านได้หลายทางด้วยกันดังต่อไปนี้คือ
เข้าทางกระจก โดยท่านอาจลืมปิดกระจกหรือปิดกระจกไม่สนิทเมื่อฝนตกหนัก ข้อนี้รวมไปถึงรางกระจกชำรุดปิดไม่ได้ แบบนี้ฝนตกก็เปียกแน่ๆ
ท่อระบายน้ำของอุปกรณ์เครื่องทำความเย็นภายในรถ คือ ค่อน้ำจากคอยล์เย็นอุดตัน หรือไม่กระชับแน่น จึงทำให้น้ำไหลนองพื้นได้อีกกรณีหนึ่งเช่นกัน
พื้นรถผุกร่อนจนมีรอยทะลุ ในกรณีนี้มีปัญหาแน่นอน แค่วิ่งลุยฝนล้อก็จะรีดน้ำสาดเข้าใต้ท้องรถสาดซึมขึ้นมาเปียกพื้นรถเป็นแน่แท้
การขับลุยน้ำที่ท่วมสูง บางครั้งสูงกว่าพื้นรถเสียอีก น้ำจึงทะลักเข้ารถจนเปียกหมด
ทั้ง 4 ประการนี้แหล่ะครับเป็นที่มาของการทำให้พรมปูพื้นรถ ใช้มือลูบจับดูความเปียกชื้นของพรมปูพื้นรถ ตรงไหนเปียก ท่านจะทราบได้จากการสัมผัส สำหรับรถที่ไม่มีพรมก็ตรวจด้วยสายตาและการสัมผัสได้เช่นกัน
สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหาจากความเปียกชื้นดังที่กล่าวมาไม่ยากเลย ในวันที่อากาศแจ่มใสจอรถกลางแดดเปิดประตูให้กว้างทุกบานเพื่อให้แสงแดดและกระแสลมพัดผ่านไล่ความเปียกชื้นและกลิ่นอับไปให้หมด หรือถ้าพรมเปียกมาก เห็นทีจะแห้งในวันเดียวไม่ได้ ก็ให้หาเครื่องเป่าผมไฟฟ้า เอาลมร้อนไล่ความชื้นก็จะร่นเวลาการแห้งของพรมให้เร็ว
ประการที่ 2 การตรวจสภาพการทำงานของมอเตอร์สตาร์ต
การตรวจก็ไม่มีการยุ่งยากอะไรเลย แค่การบิดสวิตซ์ สตาร์ตติดเครื่องยนต์ธรรมดาๆ เพียงแต่ให้สังเกตการทำงานของไดสตาร์ต ถ้าหมุนอืดช้าๆ เสียงอี๊ดๆ ช้ามากก็ใช้ไม่ได้ หรือประเภทมีเสียงดังแซ๊ะๆ ก่อนไดสตาร์ตจะหมุนเร็วและฉุดให้เครื่องติดได้ลักษณะนี้แสดงว่าโรคจากน้ำได้ฟักตัวและอยู่ในระยะกำเริบแล้ว คือทำให้เกิดฉนวนตามหน้าสัมผัสของสะพานไฟในมอเตอร์สตาร์ต ทำให้กระแสไฟไหลผ่านได้น้อยหรือไหลผ่านไม่ได้เลน ถ้าบิดสวิตซ์แล้วไม่มีเสียงใด ๆทั้งสิ้น
การแก้ไขกรณีนี้ก็ให้ถอดไดสตาร์ตออกมาขัดทำความสะอาด ขุดคอนแทรคของโซฮอยล์ชุดแปลงถ่านและซี่คอมมิวเกเตอร์ด้วยกระดาษทรายให้สะอาดและใส่กลับที่เดิมรับรองถ้าแบตเตอรี่ไฟดีมันจะทำงานได้เช่นปกติ ถ้าท่านเจ้าของรถที่พอจะทำเป็นก็บริการรถท่านเองได้เลย
ประการที่ 3 ของการตรวจรถทั่วไปหลังฤดูฝน คือ ตรวจลูกปืนคลัตซ์
โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งสตาร์ต โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งและสตาร์ตเครื่องอยู่แล้วก็ให้ตรวจสภาพของลูกปืนคลัตซ์ โดยเหยียบคลัตซ์แล้วปล่อย ทำหลายๆ ครั้งแล้วฟังเสียงผิดปกติ ถ้าขณะเหยียบมีเสียงกรี๊ดๆๆ เล็กๆ ถ้าตรวจพบเสียงนี้ต้องรีบนำเข้ารับบริการ ตรวจเปลี่ยนลูกปืนคลัตซ์ มิฉะนั้นจะทำให้หวีคลัตซ์ นิ้วคลัตซ์ หรือที่บางครั้งเรียกว่า "ตีนผี" สึกหรอเสียหายได้ อย่าทำการซ่อมเอง ให้รีบไปใช้บริการที่อู่ สะดวกสบายที่สุด
ประการที่ 4 คือ การตรวจสภาพของการใช้งานเบรกมือ
เพียงทดลองดึงเบรกมือว่าที่ดึงสูงมากผิดปกติหรือเปล่า ที่จริงแค่ 5 แก๊กก็พอ อันนี้เราสามารถปรับสายเบรกมือให้ตึงขึ้นก็จะแก้ปัญหานี้ได้ จากนั้นให้ตรวจสภาพการทำงาน คือหลังจากดึงเบรกมือแล้ว ทดลองออกรถในตำแหน่งเกียร์หนึ่ง ถ้ารถเคลื่อนตัวออกได้แสดงว่าเบรคมือใช้ไม่ได้ ต้องรีบนำเข้าไปแก้ไข เพราะเบรกช่วยให้ท่านสะดวกขณะขับในสภาพการจราจรติดขัดบนคอสะพาน ซึ่งจอดรถในถนนลาดชันและยังช่วยหยุดรถเมื่อเบรคแตกได้อีกด้วย อย่านิ่งนอนใจนะครับถ้าตรวจพบว่ามันใช้การไม่ได้ ให้นำรถเข้าศูนย์บริการเลย สิ่งนี้ก็มีผลมาจากการลุยน้ำในหน้าฝนได้เช่นกัน
ประการที่ 5 การตรวจการทำงานของคลัตซ์ ที่จะแนะนำนี้เป็นวิธีการหนึ่งของการตรวจสภาพการทงานของคลัตซ์ว่าปรกติหรือไม่
ประการแรก ตรวจคลัตซ์ลื่น วิธีการก็ไม่ยาก ดึงเบรกมือขึ้นให้สุด แล้วสตาร์ตเครื่องเข้าเกียร์ในตำแหน่งเกียร์สูงสุด ถ้าเป็นแบบ 5 เกียร์ ก็เข้า เกียร์ 5 ถ้า 4 เกียร์ ก็เข้าเกียร์ 4 แล้วออกรถในเกียร์ดังกล่าว โดยเร่งเครื่องปล่อยคลัตซ์เพื่อให้รถวิ่ง ถ้าผลปรากฎ ออกมาว่ารถไม่ขยับเขยื้อนแต่เครื่องยนต์ไม่ดับ ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นครับ อีกประการหนึ่งให้ทดลองออกรถตามปกติ เช่น พบว่ารถจะสั่งเมื่อเริ่มออกรถทุกครั้ง หลังจากรถลุยน้ำหรือลุยฝนมา นี่ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นเช่นกัน อย่างนี้จะต้องนำรถไปปรึกษาช่างแล้วหล่ะ
ประการที่ 6 คือ ตรวจเบรกว่าปัดเป๋กินซ้ายหรือกินขวา การตรวจเบรก
ท่านเองก็ทำได้สบายมาก เพียงหาที่ว่าง หรือถนนว่างเพื่อลองเบรก โดยถนนจะตัดได้ระดับลมยางและดอกยางถูกต้องใกล้เคียงกัน วิธีการตรวจให้ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. ตั้งพวงมาลัยให้ตรงไปข้างหน้า มือไม่ต้องจับพวงมาลัย แล้วเหยียบเบรกทันทีทันใด ถ้ารถปัดเป๋ไปข้างใดข้างหนึ่งก็แสดงว่าระบบเบรกมีปัญหา อาจเกิดจากการติดตายเพราะน้ำเข้า หรือเกิดการรั่วซึมในระบบ กรณีนี้ต้องรีบนำรถเข้าเช็คที่ศูนย์บริการเบรดโดยด่วน อย่าลืมว่า "เบรก คือ ชีวิต"
ประการสุดท้ายของการตรวจสภาพรถทั่วไปของรถหลังฝน คือตรวจระยะฟรีพวงมาลัย
ซึ่งวิธีการตรวจนั้นง่ายมาก ให้ท่านจับพวงมาลัยแล้วออกแรงที่มือเบาๆ หมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายหรือขวาในตำแหน่งระยะฟรี ถ้ารัศมีของระยะฟรีมาก เช่น เป็นครึ่งรอบ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ผู้ขับบังคับรถยาก เพราะในบางคันหมุนพวงมาลัยไปครึ่งรอบหน้ารถจึงจะมีปฏิกริยาตอบสนองเกิดจะต้องเลี้ยวอย่างฉับพลันคงจะเลี้ยวไม่ทันผลที่ตามมาคือต้องเฉี่ยวชนกัน "อันตราย" ควรรีบนำรถไปให้อู่ซ่อมบริการ