1. หากมีกำลังทรัพย์ อาจติดฟิลม์กรองแสงชนิดใสที่กระจกหน้าทั้งบาน ซึ่งมีประโยชน์นอกจากกันความร้อนแล้ว ฟิลม์ยังช่วยดูดชับแรงกระแทกจากก้อนหินที่มากระทบได้ดีด้วย
2. ส่วนใหญ่การปาหิน มักเกิดขึ้นตอนกลางคืนบนถนนสายเปลี่ยวและมืด หากขับรถผ่านถนนที่มีลักษณะดังกล่าว ควรเปิดไฟสูง (เมื่อมีโอกาส) เพื่อสอดส่องดูว่า มีรถจักรยานยนต์ กำลังขับขี่ส่วนทางมาหรือไม่ เนื่องจากคนร้ายมักซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ไม่ไฟหน้า หากเปิดไฟสูง นอกจากจะช่วยให้มองเห็นคนร้ายแล้ว ยังจะช่วยบดบังสายตาของคนร้ายได้ด้วย(ทำให้คนร้ายตาพร่าจากแสงไฟ) นอกจากนั้น ไม่ควรขับรถด้วยเร็วสูงบนถนนที่มีลักษณะนี้ให้ระวังทางโค้งมากเป็นพิเศษ เพราะคนร้ายมักใช้ทางโค้งเป็นจุดดักซุ่มรอ
3. หากสังเกตเห็นว่า มีรถจักรยานยนต์กำลังขับขี่สวนมาควรรีบชะลอความเร็ว และเปลี่ยนช่องการจราจรให้ออกห่างจากรถจักรยานยนต์ดังกล่าวให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ขึ้นอยุ่กับสภาพการจราจรและถนนเส้นนั้นๆ) ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนช่องจราจรได้ให้ลดควาเร็วให้เหลือเพียง 40 - 60 พร้อมกับเปิดสัญญาณไฟกระพริบเพื่อเตือนรถที่ตามหลังมาว่า กำลังจะชะลอตัว ความเร็ว ยิ่งช้าเท่าไร ความแรงของก้อนหินที่มากระทบรถก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
4. หากรถถูกปาหินใส่ได้รับความเสียหายแล้ว อย่าจอดรถในบริเวณนั้นทันที เพราะคนร้อยอาจตามมาปล้นทรัพย์สิน โดยพยายามประคองรถช้าๆ ไปจนกว่าจะพบผู้คนและเข้าไปขอความช่วยเหลือหรือแจ้งตำรวจในทันที
5.มีข้อพึงระวังในการเปิดใช้ไฟสูง คือ เมื่อเห็นแสงไฟของรถที่สวนมาหรือไฟท้ายรถคันหน้า ให้รีบลดไฟสูงลงเป็นไฟต่ำในทันทีที่เห็นแสงไฟนั้น โดยไม่ต้องรอให้รถคันนั้นใกล้รถเราก่อน จึงจะลดเป็นไฟต่ำ นอกจากนี้ไม่ควรใช้ไฟหน้าแบบแสงสว่างจ้า หรือไฟซีนอน เพราะทำให้เป็นที่รำคาญและัอันตรายสำหรับรถที่สวนมา หรือรถที่แล่นอยู่ข้างหน้าเรา สิ่งเล็กๆ น้อยเหล่านี้ ก็จะช่วยป้องกันแก๊งปาหิน ในข้อหา "หมั่นไส้" ได้
สุดท้ายแล้ว การป้องกันที่ดีที่สุด คือ ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางมืดและเปลี่ยว ขับรถอย่างมีมารยาท อย่าแซงในที่คับขัน ซึ่งอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แก๊งปาหินโกรธและไล่ตามไปดักรอข้างหน้า โดยที่เราไม่รู้ตัวได้
อย่างไรก็ตาม การปราบปรามแก๊งปาหิน คงต้องหน้าที่ของตำรวจ ทั้งตำรวจพื้นที่ และตำรวจทางหลวง ในการดำเนินการอย่างจริงจังให้เป็นตัวอย่าง ไม่ให้แก๊งปาหินออกมาอาละวาด สร้างความหวั่นวิตก ให้กับสุจริตชนอีกต่อไป