8 อุปกรณ์ไฮเทค ติดรถยนต์รุ่นใหม่ ที่คุณอาจไม่รู้

นิตยสาร รถ Weekly

ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการเข้ามาของอุปกรณ์ไฮเทคอย่างแผนที่ดิจิตอลในรถยนต์ หรือ Navigator และ GPS ที่เรารู้จักกันดีในตอนนี้ ย้อนกลับไปสัก 4-5 ปีที่แล้ว ยังเป็นเรื่องใหม่ที่มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ โดยเฉพาะกับการใช้ในรถยนต์ แต่ในปัจจุบันรถยนต์ระดับ 1 ล้านบาทขึ้นไปมักจะมี Navigator หรือ GPS เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาให้ ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสะดวกในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ด้วยเส้นทางที่ถูกต้องประหยัดเวลาได้มากที่สุด และ Navigator หรือ GPS ก็กลายเป็นออฟชั่นที่ทำให้ผู้ใช้รถทั้งหลายอยากมีไว้ใช้กันมากขึ้นเรื่อยๆ


วันนี้ Weekly จึงมีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ไฮเทคติดรถยนต์ มาให้อ่านกันเพื่อไว้ประดับเป็นความรู้ครับ…


ความไฮเทคที่มุ่งเน้นไปในเรื่องความปลอดภัยถูกคิดค้นออกมาเรื่อยๆ   อย่างเรื่องที่รถสามารถเบรกหรือหยุดได้เองในช่วงที่การจราจรติดขัด โดยที่คุณไม่ต้องแตะเบรกเลย หรือรถยนต์เข้าจอดได้เองในแบบขนานเพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น (อย่างใน Benz บางรุ่น) หรือ รถยนต์ที่สามารถเบรกอัตโนมัติเมื่อเห็นคนกำลังข้ามถนน ซึ่งขณะนั้นคุณอาจจะไม่ได้มองทางข้างหน้าอยู่ ด้วยซ้ำ

และต่อจากนี้จะเป็น 10 ความไฮเทคที่อาจจะมากับรถของคุณในวันข้างหน้า หรือวันนี้ถ้าคุณมีเงินมากพอซื้อรถหรูระดับพรีเมี่ยมได้  เทคโนโลยีที่โดดเด่นของอุปกรณ์เหล่านี้ทำให้ ราคาของรถยนต์ที่ติดตั้งมันเข้าไปต้องขยับสูงจนอยู่ในระดับที่แพงกว่ารถหรูทั่วไป ไม่อย่างนั้นแล้ว  ใครที่อยากได้ก็อาจจะต้องจ่ายเพิ่มต่างหากเพื่อติดตั้งเพิ่ม ซึ่งก็ต้องจ่ายด้วยเงินก้อนโตอยู่ดี แต่เราก็เคยเห็นกันมาแล้วว่า ครั้งหนึ่งความไฮเทคอย่าง ระบบเบรก ABS, ระบบควบคุมการทรงตัว อย่าง ESP หรือ VSC หรือแล้วแต่จะเรียกในรถแต่ละยี่ห้อ รวมไปถึงระบบนำทาง Navigator ที่มีราคาแพงในช่วงแรกที่เปิดตัว ทั้งหมดได้กลายเป็นอุปกรณ์ติดรถยนต์ทั่วไปในปัจจุบันไปแล้ว เราจึงหวังว่า ความไฮเทคใหม่ๆที่กำลังจะทยอยออกมาในตอนนี้ วันหนึ่งข้างหน้า มันก็อาจมาอยู่ในรถตลาดทั่วไปในระดับราคาที่ซื้อหากันได้ไม่ยาก เหมือนกับรถที่มี ABS หรือ Airbag ทุกวันนี้

รถยนต์สามารถเข้าจอดเองได้


ใครที่เคยคิดว่าการจอดเทียบฟุตบาทเป็นเรื่องท้าทายล่ะก็ (หนึ่งในการสอบปฏิบัติใบขับขี่) ลองดูเทคโนโลยีอันนี้หน่อยเป็นไง รถ Lexus LS รุ่นใหม่จะมีระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ซึ่งสามารถเข้าจอดเทียบฟุตบาทได้เองเพียงแค่กดปุ่มแล้วนั่งฟังเพลงรออยู่ในรถ หรือใน Toyota PRIUS ก็มีระบบนี้เช่นกัน แต่ระบบนี้ก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากคนขับอยู่บ้างคือ ต้องแตะเบรคช่วยนิดหน่อย แต่ก่อนจะใช้ระบบนี้ได้ คนขับอย่างเราต้องหาที่ว่างจอดให้ได้เสียก่อน (อันที่จริงอยากได้ระบบคันหาที่จอดรถตามห้างแล้วล็อคเอาไว้เลย ส่วนการถอยจอดขอทำเองก็ได้)


 ไม่มีจุดซ่อนเร้นในการมองรถยนต์ด้านหลังอีกต่อไป


หลายครั้งที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากการขับเปลี่ยนเลนโดยที่คนขับไม่ทันระวังรถยนต์ที่แล่นอยู่ด้านข้าง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการที่ตำแหน่งรถด้านข้างไปตกอยู่ในจุดที่เราเรียกกันว่า ‘จุดบอด’ (Blind Spot)  ซึ่งปัญหาตรงนี้เป็นเรื่องที่ความปลอดภัยที่ถูกมองข้ามมานาน และตั้งแต่ในปี 2007 เป็นต้นมา ค่ายรถยุโรปอย่าง Audi และ Volvo ก็นำเอาระบบช่วยเตือนรถในจุดบอดด้านข้างมาใช้กับรถของตน โดยระบบที่ว่าจะมีเรดาร์หรือกล้องตรวจจับรถหรือวัตถุเคลื่อนที่เข้ามาในโซนจุดบอด ซึ่งติดตั้งอยู่ที่กระจกมองข้างทั้งสองด้าน พอตรวจจับได้ประกอบกับที่รถมีการเปลี่ยนเลนออกไป ไฟ Led ที่กระจกมองข้างด้านนั้นๆก็จะติดเพื่อเตือนคนขับให้ชะลอไว้ก่อน  ในรถ Audi Q7 ใช้ระบบ Side Assist ที่มี ใช้เรดาร์เป็นตัวจับ  ขณะที่ Volvo S80 ใช้ระบบ Blind Spot Information โดยกล้องด้านข้าง

ระบบเตือนการชนล่วงหน้า


ระบบเตือนการชนล่วงหน้าเป็นการคาดคะเนความเป็นไปได้ว่าจะมีการชนเกิดขึ้นแล้วจัดการเตรียมพร้อมเพื่อความปลอดภัยที่จะได้รับสูงสุด ระบบนี้มีหลายวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับค่ายผู้ผลิต  เช่นบางระบบจะใช้เรดาร์ในการตรวจจับรถทางด้านหน้าและหลัง ถ้าพบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการกระทบกระทั่งกัน ก็จะเตือนคนขับให้ทราบด้วยสัญญาณเสียงหรือไฟ และถ้าคนขับไม่สามารถตอบสนองได้เร็วพอ ระบบก็จะจัดการช่วยแบบอัตโนมัติเช่น เบรก , ปิดหน้าต่าง , ปรับที่นั่งเพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่ Air Bag ทำงานได้ดีที่สุด และจัดการดึงเข็มขัดนิรภัยไว้Lexus LS ตัวท๊อป คือรถที่มีระบบแบบนี้ ระบบนี้จะสามารถตรวจจับ คนเดินถนน , สัตว์ และ รถยนต์ด้วยกันเองได้เป็นอย่างดี   ซึ่งจะสามารถช่วยคนขับเลี่ยงการชนคนได้ด้วย  ทาง Lexus ใช้กล้องตัวเล็กๆ 2 ตัว  ติดตั้งอยู่ทางด้านหน้าเพื่อตรวจจับ  การที่ไม่ใช้เรดาร์ก็เพราะว่ามันไม่สามารถให้ข้อมูลกลับมาเพื่อประมวลผลได้ หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วกล้องให้ข้อมูลตอบกลับได้อย่างนั้นเหรอ ระบบ APCS ใน Lexus ยังมีกล้องอีกตัวติดอยู่ภายในรถยนต์แถวพวงมาลัย โดยตั้งไว้ให้จับที่ใบหน้าของคนขับ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่กล้องทั้ง 3 ตัวต้องทำงานประสานกัน เพราะกล้องตัวในจะอ่านใบหน้าของคนขับว่าสายตามองออกไปที่ทางข้างหน้าหรือเปล่า หรือว่ามีการรับรู้ถึงเหตุการณ์ข้างหน้าที่จะเกิดไหม ถ้าระบบเห็นว่าไม่ ก็จะเตือนด้วยแสงไฟ และจะค่อยๆช่วยเบรกรถให้เองอย่างนิ่มนวล พร้อมดึงเข็มขัดนิรภัยให้แน่นขึ้น และปรับการบังคับพวงมาลัยให้ตอบสนองไวขึ้นด้วย สุดท้ายคือเตรียมการเบรกแบบเต็มที่ทันทีที่คนขับกดแป้นเบรกลงมา  ทีนี้ใครที่สงสัยว่า Lexus LS ทำไมถึงแพงเกินหน้ารถยุโรปหลายคัน คงเข้าใจบ้างแล้ว


 ระบบช่วยมองในตอนกลางคืน


BMW, Lexus, และ  Mercedes-Benz กำลังจะนำเอาระบบช่วยมองในตอนกลางคืนมาติดตั้งในรถยนต์ของตัวเองในเร็ววันนี้ ซึ่งมันเริ่มต้นมาจาก Cadillac ของอเมริกา ระบบนี้จะทำให้คนขับเห็นวัตถุและคน ในที่ๆแสงสว่างหน้ารถส่องไปไม่ถึง โดยจะใช้เทคโนโลยีอินฟราเรดจับความร้อนเอา ดังนั้นไม่ว่าคน , สัตว์ หรือ รถยนต์ที่จอดอยู่ข้างทางไกลๆ ระบบก็จะบอกได้หมด โดยนำมาขึ้นในระบบแสดงภาพที่หน้าปัดรถ เช่นของ BMW และ Mercedes  หรือใน Lexus ก็จะมี system projects images ตรงด้านล่างของกระจกหน้า  จากการทดสอบในรถ Cadillac รุ่น DeVille ปี 2000 พบว่ามันเป็นประโยชน์ในบางสถานการณ์  ส่วนใหญ่คือบนถนนที่ตรงเรียบยาว แต่รายละเอียดภาพที่เราเห็นนั้นไม่ชัดเจนมี noise  ซึ่งระบบรุ่นใหม่ได้มีการอัพเดทให้แสดงรายละเอียดที่ดีกว่า และเห็นได้กว้างกว่าด้วย


 เครื่องดีเซลสะอาดๆ


โดยปกติเครื่องยนต์ดีเซลจะให้อัตราขี่ที่ประหยัดกว่าเครื่องเบนซินอยู่ราว 30%  แต่ด้วยการที่มันปล่อย ไนโตรเจร ออกไซด์ ออกมาทำให้มันเป็นมลพิษกับสภาพแวดล้อม ทำให้รถยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ๆ ติดปัญหาเรื่องมลพิษกับการจำหน่ายในบางประเทศ หรือบางมลรัฐในอเมริกา (เมืองไทยได้หมด) ซึ่งทำให้ Mercedes-Benz ได้ประกาศที่จะทำเครื่องยนต์ดีเซลตัวใหม่ที่ชื่อ ‘Bluetec’ ซึ่งสามารถลดมลพิษได้มากกว่าเครื่องดีเซลปัจจุบัน โดยใช้การ oxidizing ภายในตัว catalytic converter ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งช่วยลดมลพิษลงได้เยอะ แต่เครื่อง Bluetec ต้องการเชื้อเพลิงดีเซลรุ่นใหม่ที่มีค่ากำมะถันต่ำ สำหรับรถยนต์รุ่นแรกของ Benz ที่จะใช้เครื่อง ‘Bluetec’ ก็คือ E320 และก็มี Volkswagen Touareg อีกคันที่ใช้เครื่องยนต์ V10 ดีเซล รุ่นใหม่ที่ลดมลพิษและต้องใช้ดีเซลกำมะถันต่ำเติมเช่นกัน

กระจกรถแบบปรับความเข้มของแสงได้


กระจกส่องหลังไฟฟ้า ที่ลดแสงสว่างให้อัตโนมัติเวลาโดนไฟรถคันหลังส่อง ถูกนำมาใช้ในรถยนต์ทั่วไปอย่างแพร่หลายในช่วงปีที่ผ่านมา และตอนนี้แนวคิดของมันก็ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับกระจกรถแล้วตัวอย่างคือ เฟอร์รารี่ ที่นำเอาหลังคาแก้วปรับไฟฟ้า มาใช้กับรุ่น 575 Super America เวอร์ชั่นปี 2005 ซึ่งผลิตออกมาจำกัดให้กับลูกค้าคนสำคัญของเฟอร์รารี่ในอเมริกา ซึ่งหลังคาแก้วไฟฟ้านี้ สามารถปรับความเข้มของแสงได้ 5 ระดับ จากการกดปุ่มภายในรถ ทาง Fioravanti ผู้ผลิตระบบที่ว่านี้อ้างว่า มันจะช่วยลดพลังงานแสงอาทิตย์ลงได้ประมาณ 20% และลดแสงผ่านเข้ามาได้มากที่สุด 40% แม้ว่า Super America จะเลิกผลิตไปแล้ว แต่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับกระจกรถ เริ่มหันมาสนใจเทคโนโลยีที่ว่านี้ และมีแผนที่จะนำมาใช้กับรถทั่วไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าด้วย


 ระบบนำทางภาพเหมือนจริง


การแสดงภาพของระบบนำทาง GPS ในปัจจุบัน จะเป็นภาพที่เหมือนกับที่เราเห็นในแผนที่ คือมองจากบนลงมา แต่ตอนนี้ผู้ผลิตระบบนำทางหลายค่ายได้ทำให้มันมีคุณสมบัติแบบ3D คือมองเป็นภาพเสมือนจริงมากขึ้น นอกจากมุมสูงแบบ 3D แล้วยังมองในแนวราบได้อีกด้วย ซึ่งในไม่ช้ามันจะเป็นออปชั่นพิเศษของรถให้เราเลือก และการมองเหมือนแผนที่แบบเก่าๆจะถูกยกเลิกไป จริงๆมันคือ ระบบนำทางมาตราฐานที่ควรจะเป็นมากกว่า เพราะระบบที่เราเห็นอยู่รถบ้านเราในปัจจุบันนั้นดีกว่าแค่เปิดแผนที่ดูเองหน่อย (ในญี่ปุ่นมีการใช้อย่างแพร่หลายแล้ว)และเทคโนโลยีนี้จะไม่หยุดแค่การทำเป็นภาพกราฟฟิก 3D เพราะต่อไปมันจะเป็นภาพถ่ายจริงแบบที่สายตาเราเห็น โดยมันจะแสดงภาพของถนนและสิ่งรอบข้างเหมือนที่เราเห็นจากภาพถ่ายดาวเทียม บริษัทผู้ผลิตเรียกมันว่า 3DVU ซึ่งตอนนี้มีใช้กับระบบนำทางแบบมือถือที่ญี่ปุ่นแล้ว และจะนำมาลงในระบบนำทางของรถเกาหลีรุ่นใหม่เป็นรายแรกผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเตรียมนำเอา  3DVU มาเป็นออปชั่นของระบบนำทางในรถตัวเอง โดยคาดการณ์ว่าจะเป็นที่แพร่หลายในอเมริกาภายในปี 2010 ซึ่งถึงตอนนั้นภาพที่ได้จะยิ่งเหมือนจริงมากขึ้น ภูเขาก็จะดูเป็นภูเขาจริงๆ และอนาคตต่อไปจะมีการเพิ่มระดับท้องถนนของเมืองสำคัญๆเข้าไปด้วย ซึ่งจะรวมถึงตึกและสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ


 ระบบเตือนคนขับที่ขาดสมาธิ


รถยนต์อย่าง Volvo S80 มีระบบช่วยที่ว่านี้แล้ว มันเป็นการเตือนคนขับที่อาจกำลังง่วงอยู่หรือเพลินกับอย่างอื่นจนไม่ได้ดูทางข้างหน้า หรือเปลี่ยนเลนโดยไม่ให้สัญญาณ โดยระบบช่วยนี้จะมีกล้องติดอยู่ข้างหลังของกระจกมองหลังเพื่อคำนวณเส้นแบ่งเลนสีขาวข้างหน้ากับด้านไหล่ทาง ถ้ารถมีการเปลี่ยนเลน เข้าองค์ประกอบที่ว่า ระบบก็จะเตือนด้วยสัญญาณไฟหรือเสียงทันที (แน่นอนว่ามันทำให้ผู้ใช้ ฉงนและหัวเสียนิดหน่อยกับการตั้งใจเปลี่ยนเลนโดยไม่ให้สัญญานขณะที่ถนนโล่ง)หลายคนที่ใช้รถมีระบบนี้อยู่บอกว่า มันใช้งานได้ดีกับถนนทางหลวงที่โล่งยาว แต่อาจน่ารำคาญถ้าวิ่งไปบนถนนอันคดเคี้ยว โชคดีที่ระบบนี้สามารถปิดได้


            เทคโนโลยีทั้ง 8 อย่างอาจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่เกิดกับรถยนต์ และเชื่อว่ามันจะมีอย่างอื่นออกมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ได้เพิ่มคุณค่าให้กับตัวรถ บางทีมันอาจจะเป็นคำตอบให้กับหลายคนว่าทำไมรถยุคนี้แพงขึ้น แม้ว่าค่าเงินจะเปลี่ยนไปก็ตาม ดูอย่าง Lexus LS ที่มีเศรษฐีหลายคนบอกว่า รถญี่ปุ่นอะไรแพงโอเวอร์ แต่ลองพิจารณาดูเทคโนโลยีในรถรุ่นนี้ดูก็จะรู้ว่าทำไม บางครั้งผู้เขียนก็สงสัยในราคาของรถยุโรปบางยี่ห้อว่า แพงเพราะเทคโนโลยี, อุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวก, การประกอบ หรือว่า แบรนด์ กันแน่