1. รู้เวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ในสหรัฐฯรถยนต์ทุกคันจะมีสติกเกอร์บอกให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 4,500 กม. ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปบางรายยืนยันว่ารถยนต์ของตนวิ่งได้ 32,000 กม. ถึงจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้วคุณควรจะเชื่อข้อมูลใด ข้อเท็จจริงคือน้ำมันเครื่องจะเกิดการปนเปื้อนหลังจากใช้ไปได้ระยะหนึ่ง จึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 10,000 กม. และอย่าปล่อยไว้เกินกว่า 12,000 กม. เงินที่เลียไปกับน้ำเครื่องจะช่วยประหยัดค่าซ่อมรถในระยะยาว
2. เลือกน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสม อย่าเชื่อแต่โฆษณาที่ชักชวนให้คุณเลือกใช้น้ำมันชนิดแพงที่สุด ลองใช้น้ำมันแต่ละชนิดเปรียบเทียบในเส้นทางเดียวกันหรือใกล้เคียงกันทั้งน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วและแก๊สโซฮอล์รถยนต์บางรุ่นบางยี่ห้อเหมาะกับน้ำมันคุณภาพสูง ขณะที่บางรุ่นไม่จำเป็นต้องใช้ของแพง ข้อควรจำคือน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีสารทำความสะอาดเครื่องยนต์ในอัตราส่วนที่สูงจะดีเครื่องยนต์ทุกประเภท
3. ประกันและการซ่อมบำรุง บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ก็เหมือนงานเชี่ยวชาญพิเศษอื่นๆ คือบางอู่ก็บริการดี มีช่างเก่ง แต่บางอู่ก็ไม่ได้เรื่อง แม้คุณจะเอารถยนต์ไปรับบริการที่อู่อิสระ แต่การรับประกันจากบริษัทรถยนต์จะได้เป็นโมฆะ ตราบใดที่อู่ทำงานด้วยมาตรฐานเดียวกับผู้ผลิต และใช้อะไหล่ที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามคุณจะพลาดบริการตรวจสภาพฟรีที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดให้ผู้แทนจำหน่ายจัดให้แก่ลูกค้าที่นำไปเข้าอู่ของตัวแทนเหล่านั้น ในระยะประกัน คุณจึงควรใช้บริการอู่ของตัวแทนไปก่อน เมื่อการรับประกันจะหมดอายุ และบริการฟรีต่างๆเริ่มน้อยลง ค่อยออกไปหาอู่อิสระฝีมือดีไว้สักแห่ง ค่าแรงที่อู่แบบนี้จะถูกกว่า และถึงแม้วิธีอาจทำให้ราคาขายต่อลดลงไปบ้างแต่นานปีเข้าส่วนต่างของราคาก็ไม่มากนัก
4. เลิกฟังคำเตือนเรื่อง “ยางบุบ” ถ้าคนที่ร้านขายยางชี้ให้คุณเห็นรอยบุ๋มที่แก้มยางโดยบอกกว่าเป็นปัญหา และคุณต้องเปลี่ยนยาง จงอย่าสนใจ เพราะรอยบุบเล็กๆนี้เป็นเรื่องปกติ มันคือรอยต่อของเส้นใยโพลีในตัวยางเท่านั้นเอง แต่กลับกัน ถ้าคุณเห็นยางบวม คือมีก้อนที่โป่งออกมาจากแก้มยางให้รีบเปลี่ยนยางก่อนยางจะระเบิด
5. คอยสังเกตลมยาง การตรวจสอบลมยางอย่างน้อยเดือนละหน เป็นวิธีง่ายที่สุดในการประหยัดค่าซ่อมรถ ยางที่อ่อนหรือแข็งเกินไปจะเลี่ยงต่อการระเบิด นอกจากนี้ความดันลมที่ไม่เหมาะสมจะมีผลต่อการประหยัดน้ำมัน เพิ่มความสึกหรอให้แก่เบรกและระบบรองรับ ความดันลมมากที่สุดที่ยาง หรือระบุบนสติกเกอร์ตรงขอบประตูด้านคนขับ
6. ขัดเงารถเองเสียบ้าง ศูนย์คาร์แคร์หลายแห่งมีบริการลงแว็กซ์และขัดเงารถแต่คุณอาจจะต้องจ่ายเงินถึง 700-2,000 บาท ทางเลือกคือไปหาซื้อแว็กซ์แบบเดียวกันราคาประมาณ 400 บาท แล้วขัดเงารถเองเลือกวันที่อากาศดี ฝนไม่ตก ลงแรงตัวเองแล้วรถคุณจะเงาวับ เคลือบด้วยแวกซ์ที่จะติดทนกว่าสเปรย์แว็กซ์จากเครื่องล้างรถ
7. เคลือบแว็กซ์ฟรี ทุกครั้งที่คุณใช้บริการล้างรถอัตโนมัติ รถคุณจะได้รับการเคลือบแว็กซ์ฟรีไม่มากก็น้อย เนื่องจากบริการล้างรถอัตโนมัติมักมีระบบหมุนเวียนน้ำล้างรถกลับมาใช้ใหม่ น้ำที่ใช้ล้างรถของคุณมีจึงแว็กซ์ที่ใช้เคลือบรถคันก่อนหน้าเจืออยู่บ้างรถของคุณจึงได้เคลือบแวกซ์ไปด้วย
8. ช่างต้องลองด้วย คุณเอารถเข้าอู่เพราะได้ยินเสียงเอี๊ยดๆ บริเวณหน้ารถ ช่างเอารถขึ้นแรมป์ แล้ว 20 นาทีให้หลังก็กลับมาบอกว่าคุณต้องเปลี่ยนจานเบรกและผ้าเบรก ถ้าเจออย่างนี้จงระวัง อู่รู้ได้อย่างไรโดยไม่เอารถไปทดลองขับเลย คุณควรถามความเห็นจากแหล่งอื่น ช่างต้องลองขับรถดูก่อนจึงจะวินิจฉัยปัญหาได้ ถ้าไม่ทำ ระวังอู่จะหลอกให้คุณเสียค่าซ่อมแพงโดยไม่จำเป็น
9. ระวังเรื่องตัวหน่วงการสั่นสะเทือน หรือที่เรียกกันว่าช็อกอับ (shock absorber) เล่ากันว่ามีช่างนิสัยไม่ดีบางคนฉีดน้ำมันเครื่องใส่ตัวหน่วงการสั่นสะเทือนของรถยนต์ เพื่อทำให้ดูเหมือนมีการรั่วซึม ถ้ามีใครมาบอกคุณให้เปลี่ยนช็อกอับเพราะเหตุนี้ คุณควรถามความเห็นจากอู่รถอีกแห่งก่อนตัดสินใจ
10. การหาอู่ซ่อมรถ ส่วนใหญ่ใช้วิธีแนะนำปากต่อปาก คุณอาจสอบถามคนที่เคยใช้บริการอู่ในละแวกบ้าน หรือขอรายชื่อและคำแนะนำจากบริษัทประกันรถ แล้วพิจารณาตามเกณฑ์ของสามคมอู่กลางประกันภัยคืออู่ได้มาตรฐานควรมีรั้วรอบขอบชิด ปลอดภัยกับรถที่เข้าไปบริการ ตัวอาคารดูมั่นคงสะอาด แบ่งส่วนการทำงานชัดเจน มีเครื่องดับเพลิง และมีระบบดูความปลอดภัยของรถยนต์ลูกค้า นอกจากนี้พนักงานต้องสุภาพตอบคำถามชัดเจน มีการประเมินราคาและแจ้งก่อนครั้งก่อนจะเปลี่ยนอะไหล่ใดๆ