ก่อนที่เราจะเข้าสู่วิธีการแก้ปัญหานั้น แน่ นอนว่า เราคงไม่สามารถจะสู้กับไฟได้ด้วยมือเปล่ากับสมอง แต่เรายังต้องการอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการดับไฟด้วย ซึ่งก็คือ “ถังดับเพลิง” ที่สามารถ หาซื้อได้จากห้างทั่วไป ซึ่งเราแนะนำว่าให้ติดตั้งถังขนาด 2 ปอนด์ไว้ในรถยนต์ของท่าน โดยเฉพาะใครที่มีการติดตั้งแก๊ส ที่มีโอกาสสุ่มเสี่ยงเพลิง ไหม้มากกว่าปกติ
เมื่อมีอุปกรณ์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็มาถึง 5 ข้อปฎิบัติง่ายๆ เมื่อเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ ไฟไหม้รถ
1. ตั้งสติ เมื่อคุณสงสัยว่ารถของคุณอาจจะมีเหตุเพลิงไหม้ แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมมีสัญญาณเตือน และหนึ่งในนั้นก็คือ กลิ่น ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณควรทำคือตั้งสติ ในกรณีที่ต้นเพลิงมาจากเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ และมักจะเกิดพร้อมกับอาการเครื่องยนต์ดับ อันทำให้รถยนต์อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถควบคุมได้ ให้พยายามปลดเกียร์ว่าง หรือเข้าตำแหน่ง N และเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อเข้าข้างทาง
2. ดับเครื่องยนต์ บางครั้งที่เครื่องยนต์ดับนั้น หลายคนมักจะลืมข้อนี้ เพราะคิดเอาว่าไม่จำเป็น ทั้งๆ ที่จริงแล้ว สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง คือการบิดสวิทช์กุญแจดับเครื่องยนต์ แล้วนำกุญแจออกมา พร้อมกับเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการหยิบถังดับเพลิง และดึงหรือกดปุ่มเปิดฝากระโปรงขึ้น เพื่อเตรียมตัวทำข้อต่อไป
3. ดับไฟ ได้เวลาผจญเพลิงกันแล้ว บางครั้งเมื่อเราดึงฝากระโปรง หากเพลิงไหม้มีอาการหนักมาก ก็มักจะมีเปลวไฟแลบออกมา ซึ่งอย่าตกใจ และห้ามตกใจ แต่ให้ใช้ถังดับเพลิงสู้ โดยวิธีใช้ง่ายๆ แค่เพียงปลอดสลัก แล้วทำการฉีดดับไฟ โดยให้ฉีดพ่นผ่านช่วงแง้มของฝากระโปรง และฉีดให้ทั่วๆ และที่สำคัญที่สุด คือห้ามเปิดฝากระโปรงในทันทีโดยเด็ดขาด เพราะ การเปิดฝากระโปรงเป็นการเติมออกซิเจนให้เชื้อไฟ ซึ่งอาจทำให้รถของคุณกลายเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา
4. ดับไฟ (ต่อ) เมื่อไฟเริ่มเบา หรือใกล้สงบ ค่อยเปิดฝากระโปรงขึ้น แต่แน่นอน ฝากระโปรงทำมาจากเหล็ก ดังนั้น เราจึงควรใช้ผ้าช่วย แต่ถ้าไม่มีผ้าอะไรที่พอหยิบจับได้ ก็เอาเสื้อนี่แหละพันมือและทำการเปิด กรณีที่ไม่สามารถเปิดฝากระโปรงได้ ให้หาอุปกรณ์งัด และเมื่อเปิดได้แล้ว ให้รีบฉีดห้องเครื่องให้ทั่ว โดยให้มั่นใจว่าเพลิงสงบแล้วจริงๆ
5. ถอดขั้วแบตเตอร์รี่ ไม่มีประกายไฟก็ไม่เกิดไฟแม้จะมีเชื้อเพลิง นี่เป็นเรื่องที่คุณควรจำไว้ให้แม่น เพราะแหล่งพลังงานหลักของรถที่เราใช้กันอยู่นั้นมาจากแบตเตอรี่ ซึ่งหากเราสามารถถอดชั้วแบตออกได้ ก็จะเป็นการช่วยให้ไม่เกิดเปลวไฟขึ้นอีก เพราะ โดยมากไฟที่ไหม้รถยนต์ สาเหตุหนึ่งก็มักเกิดมาจากระบบไฟฟ้า นั่นเอง
6. เมื่อไฟดับลง เป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาที่คุณควรจะโทรหาประกัน โดยถ้าคุณทำตามขั้นตอนที่บอกมานั้น จะช่วยลดโอกาสที่รถจะเสียหายทั้งคัน ซึ่งทั้ง 5 ข้อ นั้น อาจจะฟังดูยากมาก ในสถานการณ์จริง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปหากเราสามารถตั้งสติได้ และยังเป็นการเซฟทั้งชีวิต และทรัพย์สินของคุณให้เสียหายน้อยที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้