หากลองถามผู้ขับขี่รถยนต์ในประเทศไทยว่า พวกเขาคิดว่าตนเองมีพฤติกรรมในการขับขี่ที่ปลอดภัยหรือไม่ ส่วนใหญ่... มากถึง 94% จะตอบว่าตนขับรถได้อย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจล่าสุดซึ่งจัดทำขึ้นโดย ฟอร์ด กลับชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นอาจแตกต่างจากสิ่งที่เราเชื่อ เพราะผู้ขับขี่ในประเทศไทยมากกว่า 70% ยอมรับว่าตนมีพฤติกรรมในการขับขี่ที่เสี่ยงอันตราย ไม่ว่าจะเป็นการขับรถเร็วกว่าอัตราความเร็วที่กฎหมายกำหนด การคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ ส่งข้อความผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่งหน้า และขับรถขณะมึนเมา
การสำรวจซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อทำความเข้าใจกับพฤติกรรมในการขับขี่ และทัศนคติที่ผู้ขับขี่มีต่อความปลอดภัย และเทคโนโลยีในรถยนต์ แสดงให้เห็นว่า ผู้ขับขี่จำนวนมากยังไม่ตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากพฤติกรรมในการขับขี่บางประการ แต่ในขณะเดียวกัน ผลสำรวจดังกล่าวยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ผู้ขับขี่ชาวไทยมีความสนใจในเทคโนโลยีในรถยนต์ ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้
"ผู้ขับขี่ทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะเชื่อมั่นในทักษะการขับขี่ของตนเองสูงเกินไป และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากพฤติกรรมในการขับขี่ที่เสี่ยงภัยในระดับต่ำเกินไป ผู้ขับขี่ในประเทศไทยก็มีความเชื่อไปในทิศทางเดียวกัน" นางสาวยุคนธร วิเศษโกสิน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว "จากข้อมูลที่เรามีอยู่ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารกับผู้ขับขี่ ถึงพฤติกรรมการขับขี่และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยในรถยนต์มากขึ้น"
แม้ว่าผู้ขับขี่ชาวไทยส่วนใหญ่จะเชื่อว่าตนขับรถปลอดภัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ขับขี่จำนวนมากยังขาดสมาธิในการขับรถ และมีพฤติกรรมวอกแวกต่างๆ อาทิ การคุยโทรศัพท์มือถือ (76%) ในขณะที่ผู้ขับขี่อีกถึง 45% ยอมรับว่าตนส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือขณะขับรถ
นอกจากพฤติกรรมที่รบกวนสมาธิในการขับขี่แบบต่างๆ แล้ว ผลสำรวจยังเผยด้วยว่า 68% ของผู้ขับขี่ในประเทศไทย มักจะขับรถเร็วกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด 28% ของผู้ขับขี่เพศหญิงยังยอมรับว่า ตนแต่งหน้าขณะขับรถอีกด้วย และในบางครั้งพฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนนก็เกิดจากจากความอ่อนล้า โดย 73% ของผู้ขับขี่ชาวไทยยอมรับว่า ตนเคยขับรถขณะง่วงนอน ขณะที่ 31% ของผู้ขับขี่ยอมรับว่าตนมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง นั่นคือการขับรถหลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
ไม่เพียงแต่การขับรถเท่านั้น การจอดรถก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงสำหรับผู้ขับขี่บางส่วน โดย 74% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยอมรับว่าตนเคยถอยรถชนวัตถุที่อยู่ด้านหลังขณะถอยรถเข้าจอด
"เป็นที่ชัดเจนว่า การให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่อย่างปลอดภัย และการยกระดับความตระหนักรู้ถึงเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้เราจึงเชื่อว่า โครงการฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย หรือ Driving Skills for Life ที่เป็นกิจกรรมหลักของของฟอร์ดเป็นโครงการที่สำคัญ" นางสาวยุคนธร กล่าว "เราพยายามที่จะชี้นำให้เกิดการสนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในทางที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อผู้ขับขี่"
การสำรวจของ ฟอร์ด ในครั้งนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างทัศนคติของผู้ขับขี่ และพฤติกรรมในการขับขี่จริงแล้ว ข้อมูลดังกล่าวยังเผยด้วยว่า ผู้ขับขี่ชาวไทยมีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อาจช่วยให้ตนตระหนักถึงความปลอดภัยในการขับขี่ และเป็นนักขับที่ดีขึ้นกว่าเดิม
จากผลสำรวจดังกล่าว ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 90% เผยว่า ตนสนใจเทคโนโลยีการสั่งงานด้วยเสียง อาทิ ระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร ฟอร์ด ซิงค์ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถได้โดยไม่ต้องปล่อยมือออกจากพวงมาลัย หรือละสายตาออกจากถนน ปัจจุบัน ฟอร์ด นับว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งด้านการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ และการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาติดตั้งในรถหลายรุ่นที่วางจำหน่าย ในราคาที่ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของได้
"การที่ผู้ขับขี่ถึง 64% ระบุว่า การรับโทรศัพท์ขณะขับรถเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะมองหาวิธีการตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว โดยไม่ทำให้ความปลอดภัยในการขับขี่ลดลง" นางสาวยุคนธร กล่าว "อีกสิ่งหนึ่งที่ผลสำรวจนี้แสดงให้เราเห็น นั่นคือ การที่ผู้ขับขี่ให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอย่างจริงจัง และยอมที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อความปลอดภัยที่มากกว่า"
เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่ผู้ขับขี่ต้องการนั้น มีตั้งแต่เรื่องพื้นฐานไปจนถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ยกตัวอย่างเช่น ผู้ขับขี่ถึง 87% เผยว่า ตนจะยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อซื้อรถที่มีถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ขณะที่ผู้ขับขี่ถึง 82% เผยว่า ตนมีความสนใจเทคโนโลยีที่ช่วยไม่ให้รถเฉไปยังเลนอื่นบนนถนน อย่างเช่น ระบบช่วยเตือนการขับรถให้อยู่ในช่องทางหรือ Lane Keeping Assist
และเมื่อผู้ขับขี่ต้องเผชิญกับการพยายามถอยรถเข้าช่องจอด ท่ามกลางการจราจรหนาแน่น 43% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า ตนสนใจเทคโนโลยีที่มีความสามารถในการช่วยเตือน กรณีที่มีวัตถุหรือสิ่งกีดขวางอยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดบอด หรือยากต่อการมองเห็น
"หากเรามองไปให้ไกลกว่าความมั่นใจแบบเกินตัวของผู้ขับขี่แล้ว เราจะเห็นว่า อันที่จริงผู้บริโภคต่างใส่ใจต่อความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างมาก และแต่ละคนก็พยายามจะเป็นผู้ขับที่ดี และขับรถอย่างปลอดภัยมากขึ้น สำหรับฟอร์ด เราเชื่อว่าการให้ความรู้ ควบคู่กับการนำเสนอเทคโนโลยีอันทันสมัย จะมีส่วนอย่างมากในการทำให้ทั้งผู้ขับขี่ และผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนในประเทศไทย มีความปลอดภัยในการเดินทางมากขึ้น"
หมายเหตุ: แบบสำรวจออนไลน์นี้ จัดทำขึ้นโดย บริษัท มอร์เพซ มาร์เก็ต รีเสิร์ชแอนด์คอนซัลติ้ง ในนามของฟอร์ดมอเตอร์คัมปะนี มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 800 คน (ทั้งเพศชายและหญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดมีใบอนุญาตขับขี่ และมีรถเป็นของตัวเองหรือเช่ารถขับ) พื้นที่สำรวจ: กรุงเทพฯ และเชียงใหม่