ดอกยางของรถยนต์นั้น มีไว้เพื่อยึดเกาะถนน และรีดน้ำขณะขับรถบนถนนเปียกเพื่อให้หน้ายาง สัมผัส กับผิวถนน และเกาะพื้นถนนได้ดี หน้ายางที่ถ่ายทอดแรงทิศทางต่างๆ สู่ผิวถนนได้ดีนั้นดอกยางควรลึก ไม่น้อยกว่า 3 มิลลิเมตร แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำบนผิวถนน และความเร็วของรถด้วย สำหรับอายุของยางรถยนต์ที่ให้ความปลอดภัยเพียงพอ ต้องไม่เกิน 5 ปี นับจากวันที่ผลิต หากยางรถยนต์ อายุครบ 5 ปีแล้ว ก็ควรรีบเปลี่ยน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณและเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน
ดอกยางและร่องบนหน้ายาง มีหน้าที่ในการรีดน้ำขณะหน้ายางสัมผัสกับถนน ปัจจุบันยางมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำสูงถึง 40 ลิตรต่อนาที ในขณะที่วิ่งด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความลึกของดอกยางมีผลต่อการรีดน้ำและการเกาะถนน ขณะที่เปียก หากประสิทธิภาพการรีดน้ำต่ำ อาจทำให้เกิดการไถลได้ง่าย ความลึกขั้นต่ำควรจะมีความลึกอย่างน้อย 1.6 มิลลิเมตร และหากดอกยางเหลือต่ำกว่า 2.0 มิลลิเมตร จะขาดประสิทธิภาพในการรีดน้ำและเกาะถนน
ยางดอกหมด อาจจะทำให้คิดไปได้ว่า การเกาะถนนจะไม่ดีเท่ายางที่มีดอกยาง แต่แท้จริงแล้วสำหรับการขับขี่ บนท้องถนนที่แห้งและเรียบ ยางที่ไม่มีดอกยางที่เนื้อยางยังไม่แข็งกระด้าง จะเกาะถนนมากกว่ายางมีดอก เพราะยิ่ง มีหน้ายางสัมผัสพื้นกว้างเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกาะถนนมากเท่านั้น สาเหตุที่ยางมีดอกเกาะถนนแห้งน้อยกว่ายางไม่มีดอก เพราะการกดยึดเกาะถนนเกิดขึ้นด้วยแรงกดระหว่างหน้ายางกับผิวถนน ยิ่งมีหน้ายางเป็นพื้นกว้างก็ยิ่งยึดเกาะกันได้ดี แต่ยางไม่มีดอกจะเกาะถนนดีเฉพาะถนนแห้งเท่านั้น “ถ้าถนนเปียก อย่างฤดูฝนเช่นนี้ จะลื่นมาก เพราะมีน้ำเป็นฟิล์มบางๆ คั่นระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน” ยางสำหรับใช้งานทั่วไป ที่ต้องเจอทั้งถนนแห้งและถนนเปียก จึงต้องมีร่องยางเพื่อให้สามารถ รีดน้ำออกจากหน้ายางที่กดลงกับพื้น หรือเพื่อให้น้ำแทรกตัวอยู่ในร่องยางได้ ส่วนดอกยางก็ทำหน้าที่ยึดเกาะ หรือสัมผัส กับผิวถนนทั้งเปียกและแห้ง ฉะนั้นในหน้าฝนควรสำรองยางรถยนต์ของคุณกันสักนิด ว่าพอมีดอกยางเพื่อรีดน้ำออกจากยาง เพื่อการยึดเกาะที่ดีแล้วหรือยัง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของทุกท่าน
การเลือกใช้ดอกยางนอกจากจะคำนึงถึงความสวยงามการเลือกคุณสมบัติที่เหมาะสมจะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ สำหรับดอกยางในท้องตลาดสามารถแบ่งออกเป็น 4 แบบ ด้วยกันคือ
1.ดอกละเอียด (RIB PATTERN) มีลักษณะเป็นลายดอก และร่องที่คดโค้งหรือเป็นเหลี่ยมเป็นแถวยาวตามเส้นรอบวง ของยาง ร่องยางที่ตื้นช่วยในการระบายความร้อน เกาะถนนได้ดี ขับขี่บังคับเลี้ยวได้ง่ายป้องกันการลื่นไถลออกด้านข้างได้ดีเยี่ยม ดอกยางชนิดนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับรถโดยสาร
2.ดอกบั้ง (LUG PATTERN) ดอกบั้งมีลักษณะลายดอกและร่องยางเป็นแนวขวางกับเส้นรอบวงของยาง โดยร่องยาง จะมีความลึก เนื้อยางมีมาก เวลารถเคลื่อนที่จะเกิดแรงกรุยสูง และมีอายุการใช้งานทนทานกว่าดอกยางแบบอื่น ๆ เหมาะกับ รถบรรทุกขนาดใหญ่ (ล้อหลัง) รถจี๊ป หรือรถที่วิ่งในอัตราความเร็วปานกลางจนถึงต่ำ
3.ดอกผสม (RIB –LUG PATTERN) ยางแบบดอกผสมเป็นการผสมระหว่างยางดอกละเอียดและลายดอกบั้ง โดยตรงกลางของหน้ายางจะเป็นลายแบบยางดอกละเอียด แต่ด้านซ้ายและขวาเป็นลายดอกบั้งยางดอกผสมนี้จึงทั้งกำ ถนนป้องกันรถไถลออกด้านข้าง และมีแรงกรุยดี นำมาใช้ได้ทั้งล้อหน้าและล้อหลังวิ่งบนทางขรุขระหรือลาดยางก็ได้ เหมาะกับรถที่วิ่งด้วยความเร็วปานกลาง
4.ดอกบล็อก (BLOCK) ยางชนิดนี้มีหน้ายางเป็นลักษณะก้อนเหลี่ยมหรือโค้งมน เรียงตัวกันคล้ายอิฐบล็อกปูทางเดิน แต่จะมีช่องว่างระหว่างบล็อก ซึ่งถ้ามองตามเส้นรอบวงของยาง จะเห็นร้องเหมือนกับยางดอกละเอียดเหมาะที่จะใช้กับ
ทุกสภาพถนน ไม่ว่าจะเป็นบนพื้นทราย หรือโคลน มีสมรรถนะเกาะถนนได้ดีมาก ผู้ขับขี่บังคับเลี้ยวหยุดรถได้ง่าย ปัจจุบันมีใช้กับยางเรเดียล ที่ใช้ความเร็วสูง โดยเฉพาะรถเก่า
เลือกใช้ดอกยางให้ถูกประเภทงานและรถ นอกจากจะได้รับความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการใช้เงินอย่างคุ้มค่าเงินอีกด้วย