"หม้อน้ำ" เป็นสนิม อันตรายแค่ไหน?

นิตยสารรถ WEEKLY

มีข้อแนะนำว่า หากหม้อน้ำรถยนต์มีสนิม จะทำให้ระบบหล่อเย็นทำงานไม่สมบูรณ์ ปล่อยไว้นานก็ไม่ดี จะเกิดการอุดตันภายในรังผึ้ง ทำให้น้ำไม่หมุนเวียน ผลก็คือระบายความร้อนไม่ได้ เครื่องยนต์ก็จะร้อนจนฮีต สุดท้ายก็ต้องจอด 

จริงๆ แล้ว การไล่ระบบน้ำทำไม่ยาก แต่ถ้าทำไม่เป็นเดี๋ยวไล่อากาศไม่หมด เป็นฟองอากาศเหลือในระบบแล้วเครื่องจะเสี่ยงจะฮีต หรือความร้อนขึ้นสูงได้ หากทำเองไม่เป็นแนะนำให้ไปหาช่างที่ชำนาญ รถจะเย็นขึ้นอีกเยอะ 

หากเปิดหม้อน้ำตรวจดูแล้วพบว่าสีในหม้อน้ำเริ่มมีสนิม จะพาให้คอท่อและส่วนต่างๆ ที่เป็นเหล็กผุได้

ถ้าใครเคยถอดพวกท่อต่างๆ ออกมาดู อย่างเช่นพวกท่อหลังเครื่อง โดยเฉพาะรถที่ไม่เคยดูแลเรื่องระบบน้ำ จะเห็นได้ว่ามันจะมีสนิมอยู่ภายในท่อ

สนิมพวกนี้ จะสร้างปัญหาให้กับระบบหมุนเวียนของน้ำ การไหลเวียนของน้ำไม่ดีการระบายความร้อนก็ย่อมไม่ดีตามไปด้วย

ล้างเสร็จเติมด้วย คูลแลนท์ คราวนี้ก็ใช้ไปได้อีกยาว

เครื่องยนต์สะอาด ระบบระบายความร้อนที่ดี ก็ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีการกำจัดสนิมในหม้อน้ำให้หมดไปอย่างถาวร ยังไม่มีใครคิดค้นขึ้นมาได้ เพราะในความเป็นจริงสนิมที่พบในน้ำหล่อเย็นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากหม้อน้ำ เพราะหม้อน้ำสมัยใหม่จะใช้อะลูมิเมียมเป็นโครงสร้างในส่วนของรังผึ้งและท่อทางเดินน้ำ ส่วนชิ้นส่วนที่เป็นท่อนล่างและท่อนครอบด้านบนของหม้อน้ำ ก็จะใช้วัสดุประเภทพลาสติกมาทำการผลิต

สนิมที่พบในน้ำจากระบบหล่อ เย็นมีที่มาจากท่อทางเดินน้ำบริเวณข้างเสื้อสูบเป็นส่วนใหญ่เพราะเสื้อสูบ ของรถยนต์ส่วนมากผลิตมาจากเหล็กหล่อเกิดสนิมได้ง่าย ท่อทางเดินน้ำบริเวณข้างเสื้อสูบจะเป็นช่องทางเล็กๆ ลดเลี้ยวซอกซอนไปมา คล้ายทางเดินของมดหรือปลวก

วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการทำความสะอาดระบบหล่อเย็นด้วยตนเอง คือ การขยันถ่ายน้ำในระบบบ่อยๆ และควรถ่ายน้ำในขณะที่อุณหภูมิของน้ำยังร้อนๆ หรืออย่างน้อยก็ยังอุ่นๆ อยู่ เพราะสิ่งสกปรกและสนิมจะยังไม่ตกตะกอนนอนก้น จะมีโอกาสถูกถ่ายทิ้งออกมาได้ง่ายกว่าการถ่ายตอนที่น้ำในระบบเย็นหมดแล้ว

หากพบว่าหลังจากถ่ายน้ำไปแล้วยังมีสนิมหลงเหลืออยู่ก็ไม่ต้องตกใจเพราะเป็นเรื่องปกติธรรมชาติสนิมยังคงอยู่บ้างถ้าไม่สบายใจจริงๆ ก็ต้องนำรถไปหาช่างที่ร้านหม้อน้ำ ให้ล้างหม้อน้ำด้วยการใช้แรงดันน้ำเข้าไปไล่สิ่งสกปรกรวมทั้งสนิมออกมา 

ข้อสำคัญอยู่ที่ต้องตรวจระดับน้ำในระบบหล่อเย็นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และขณะขับรถต้องหมั่นสังเกตมาตรวัดความร้อนเสมอๆ เท่านั้นเอง