รถเสีย สตาร์ทไม่ติด เกิดจากอะไร?

นิตยสารรถ WEEKLY

ปัญหารถสตาร์ทไม่ติด เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมากๆ สำหรับหลายๆ คน เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้งาน หรือมีธุระเร่งด่วน พอจะเดินทางกลับไปไม่ได้ซะงั้น และใช่ว่าจะมีปัญหาแต่เฉพาะรถเก่าๆ เท่านั้น รถใหม่ๆ ที่เพิ่งออกมาได้ไม่กี่ปีก็อย่าชะล่าใจ เพราะหากขาดการดูแลใส่ใจที่ดีพอ รถสุดรักของคุณก็อาจเกิดอาการงอแงได้เหมือนกัน


อาการของรถสตาร์ทไม่ติด เกิดขึ้นได้หลายปัจจัย แต่ก่อนที่จะตีโพยตีพายไป หลังจากลองบิดกุญแจ หรือกดปุ่มสตาร์ทแล้วมีแต่เสียงดังแชะๆ หรืออาจไม่มีเสียงอะไรเลย ให้กดแตรดูก่อน ว่ามีเสียงดังปกติหรือไม่ เพราะถ้าแตรเสียงเบากว่าปกติ อาจเป็นไปได่ว่า แบตเตอรี่ใกล้หมดสภาพแล้วนั่นเอง


เอาเป็นว่า มาดูสาเหตุหลัก 5 ข้อ ที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้นกันก่อนดีกว่า เพื่อจะได้แก้ปัญหาเบื้องต้นได้ หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ขึ้น


 


1. แบตเตอรี่เสื่อม ถือเป็นปัญหายอดฮิต ที่พบเจอได้กับรถทุกคัน เพราะแบตเตอรี่ 1 ลูก มีอายุการใช้งานแตกต่างกันไป เช่น รถบางคันไม่ค่อยได้ใช้งาน ก็อาจจะมีอายุใช้งานนานกว่ารถที่ใช้งานทุกวัน ซึ่งหากดูโดยรวมแล้ว อายุการใช้งานขั้นต่ำของแบตเตอรี่รุ่นธรรมดามีอย่างน้อย 2 ปี และมากสุดไม่เกิน 4 ปี โดยอาการเตือนของปัญหานี้คือ รถเริ่มสตาร์ทติดยาก มีเสียงแชะ ๆ ลากยาวกว่าจะสตาร์ทติด หลังการจอดรถทิ้งไว้ ส่วนวิธีแก้ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมคือ ขอพ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่น


 


2. ไดชาร์จเสีย อาการเสียค่อนข้างจะคล้ายกับแบตเตอรี่ เพียงแต่ว่าหากเครื่องยนต์ติดอยู่ มันจะดับเองในขณะที่ใช้รอบต่ำ หรือหากรถกำลังเคลื่อนที่อยู่ อาจดับไปกลางอากาศเลยก็มี ฯลฯ สำหรับวิธีแก้ปัญหา ก็ใช้การพ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่นเหมือนแบตเตอรี่เสื่อม แต่ถ้าอยากเช็กให้ชัวร์ หลังจากสตาร์ทรถติดให้ทิ้งไว้สักพัก จากนั้นถอดขั้วแบตเตอรี่ออกข้างหนึ่ง ถ้ารถดับทันที รถกระตุก หรือมีอาการไฟตก แปลว่าไดชาร์จเสื่อมชัวร์ๆ


 


3. ไดสตาร์ทเสีย ตัวมันเองมีหน้าที่ฉุดเครื่องยนต์ให้ติดตอนสตาร์ทเท่านั้น จึงทำให้มีอายุการใช้งานยาวนาน แต่บทจะเสียขึ้นมาก็ไม่ค่อยจะแสดงอาการให้เห็น ซึ่งหากคุณลองเช็กตาม 2 ข้อด้านบน ลองพ่วงแบตเตอรี่ หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ และแผงหน้าปัดมีไฟโชว์ขึ้นปกติหลังบิดกุญแจก่อนสตาร์ท และสตาร์ทแล้วก็ไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้น ให้พุ่งเป้ามาที่ตัวไดสตาร์ทได้เลย


ส่วนการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ให้ลองสตาร์ทรถแบบเร็วๆ บิดกุญแจรวดเดียวแล้วสตาร์ทเลย ซัก 2-3 ครั้ง ถ้าไม่ได้ผลให้หาคนมาช่วยเข็นรถ สำหรับรถเกียร์ธรรมดา แล้วเข้าเกียร์ 1 ไว้ จากนั้นเหยียบคลัทช์ และบิดกุญแจไปตำแหน่งขวามือสุดให้ไฟหน้าปัดแสดง พอความเร็วได้ที่แล้ว ค่อยปล่อยคลัทช์ แล้วเหยียบคันเร่งส่ง และเมื่อเครื่องติดแล้วจึงแตะเบรค แต่ถ้ารถเป็นเกียร์ออโต้ หรือไม่มีคนช่วยเข็น ให้หาไม้ ท่อนเหล็ก หรือพวกประแจถอดล้อ เคาะที่ตัวไดสตาร์ทเบาๆ 4-5 ครั้ง (ระวังอย่าให้โดนอุปกรณ์อื่น) แล้วไปสตาร์ทรถอีกครั้ง


 


4. ระบบไฟขัดข้อง/มีปัญหา ข้อนี้หากไม่สุดวิสัยจริงๆ ถือว่าเป็นไปได้ยาก เพราะหากไม่ไปยุ่งเกี่ยว หรือไปทำอะไรเกี่ยวกับระบบไฟ เช่น เปลี่ยนไฟในรถ เปลี่ยนไฟหน้า ใส่กล่องต่างๆ (ใส่แบบผิดๆ จนมันช๊อต) ฯลฯ ก็ไม่มีทางที่จะเสียได้เลย นอกจากมันจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา หรือมีหนูเข้าไปกัดสายไฟนั่นเอง สำหรับวิธีเช็กอาการนี้ ทำได้โดยการบิดกุญแจแล้วไฟที่ต้องโชว์บริเวณแผงหน้าปัดไม่มีอะไรขึ้นมา และหากลองพ่วงแบตเตอรี่ด้วยแล้ว ก็สตาร์ทไม่ติด ไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้น แนะนำให้เอารถเข้าซ่อมได้เลย


 


5. น้ำมันหมด ถ้าให้พูดตามตรง อาการนี้เป็นไปได้ยากมากๆ และไม่น่าจะเป็นด้วย นอกจากจะลืม หรือบางคนอาจละเลย และติดนิสัยชอบใช้รถไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำมันจะตกขีดแดงแบบสุดๆ แล้วค่อยเติม ซึ่งบางครั้งการสตาร์ทรถครั้งต่อไป อาจมีน้ำมันไม่เพียงพอให้สตาร์ทติดก็ได้ แต่ถ้าสุดหนทาง หรือจำเป็นจริงๆ ให้ขยับรถไปพื้นที่ราบ ไม่ลาด ไม่เอียง จากนั้นลองสตาร์ทดูอีกที ถ้าติดก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ติดก็ต้องหาปั๊มน้ำมัน หรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ฯลฯ



อาการทุกอย่างที่กล่าวมานี้ ยกเว้นข้อ 5 หากสตาร์ทติดแล้ว ควรนำรถไปตรวจเช็ก และแก้ไขทันที เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวล เวลาสตาร์ทรถครั้งต่อไป นอกจากนี้อาการเสีย อาจเกิดขึ้นพร้อมกันได้มากกว่าหนึ่งข้อ ควรให้ช่างตรวจสอบให้ละเอียด และเรียบร้อย สุดท้ายนี้หมั่นดูแล บำรุงรักษา และสังเกตดูความผิดปกติรถของคุณให้ดี เวลามีปัญหาอะไรจะได้แก้ไขได้ทันการ