บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) โชว์ผลงานไตรมาส 3/2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.4% YoY มีรายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 53,706 ล้านบาท รับอานิสงส์ธุรกิจ Non-Oil ที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 6,113 ล้านบาท นำโดยธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่มีรายได้เติบโตกว่า 3 เท่า เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายสาขา และการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ที่เติบโต 40–50% ประกาศคงเป้ารายได้ธุรกิจ Non-Oil ปี 2568 อยู่ที่ 30-40 % YoY ขณะที่สัดส่วนกำไรขั้นต้นธุรกิจ Non-Oil อยู่ที่ 35-40% กลุ่มสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ยังคงเป็นตัวขับเคลี่อนหลัก
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568) ของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.4% YoY และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานที่ 0.12 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 192.2% YoY ซึ่งการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมาจากการขยายตัวของกำไรขั้นต้นและสัดส่วนรายได้ Non-Oil ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นต่อลิตรในธุรกิจ Oil และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ดีขึ้น
สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการไตรมาส 3/2568 มีจำนวน 53,706 ล้านบาท ลดลง 1.3% YoY ปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil มีราคาขายปลีกเฉลี่ยลดลง 5.8% YoY ตามภาวะราคาน้ำมันโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำ ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของกลุ่ม โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 6,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.8% YoY และ 8.8% QoQ
ทั้งนี้นำโดยธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่มีรายได้เติบโตกว่า 3 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 163.3% YoY และ 23.7% QoQ เป็น 1,508 ล้านบาท จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเป็น 1,885 สาขา เพิ่มขึ้น 67.4% YoY หรือคิดเป็น 759 สาขา เทียบเท่ากับอัตราการขยายมากกว่า 2 สาขาต่อวัน และเพิ่มขึ้น 14.8% QoQ หรือ 243 สาขา และยอดขายจากสาขาเดิม (Same-Store-Sales) ที่เติบโตต่อเนื่องในระดับ 40–50% YoY
นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาแบรนด์ในเชิงคุณภาพ และมุ่งเน้นการพัฒนาเมนูที่มีเอกลักษณ์และเพิ่มทางเลือกในการปรับแต่งเมนูเครื่องดื่ม (DIY) เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค และเสริมด้วยฐานลูกค้าสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ที่มีความแข็งแกร่งในการใช้บริการภายใต้ ระบบนิเวศ Max World ที่ยังคงกลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ไทยที่สามารถเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ขณะที่กำไรขั้นต้น (Gross Profit) เท่ากับ 4,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% YoY และ 2.0% QoQ ได้แรงหนุนจากรายได้ธุรกิจ Non-Oil ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่สูงถึง 39.3% ขณะที่ธุรกิจ Oil มีกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันที่เหมาะสม
สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการธุรกิจ Oil ไตรมาส3/2568 มีจำนวน 47,593 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,591 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 0.9% YoY และแม้การขยายสถานีบริการจะเติบโตเพียง 1.3% YOY มาอยู่ที่ 2,250 สถานี แต่บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตเชิงคุณภาพ โดยเน้นการปรับปรุงสถานีเดิมให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดในช่องทางค้าปลีกเป็น 21.5% ในไตรมาสนี้
ส่วนธุรกิจก๊าซ LPG มีรายได้ 2,599 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% YoY และ 4.3% QoQ ซึ่งปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโต 6.2% YoY และ 1.1% QoQ เป็น 104 ล้านกิโลกรัม อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มของปริมาณการจัดจำหน่ายหน่ายก๊าซ LPG ผ่านสถานีบริการเป็นอันดับที่ 1 ในไตรมาส 3/2568 ที่ 32.6%
นายพิทักษ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเดินพัฒนาธุรกิจ Non-Oil ให้มีความหลากหลาย ผ่านแบรนด์ในเครือ อาทิ สถานีบริการก๊าซ LPG และก๊าซหุงต้ม PT, Max Mart, Coffee World, Subway, Autobacs, Max Camp, Maxnitron, EleX by EGAT PT รวมถึงสถานีบริการรูปแบบใหม่ GIGA EV จากฐานลูกค้าสมาชิกรวมกว่า 27 ล้านรายทั่วประเทศ เป็นกลไกหลักสนับสนุนการเติบโต