29 กรกฎาคม วันสถาปนา “โออาร์เอสโลก”(World ORS Day) ผงน้ำตาลเกลือแร่ RO-ORS ซองเล็ก ๆ ช่วยชีวิตเด็กและมนุษย์นับล้านจากอาการท้องร่วงเฉียบพลัน

www.rodweekly.com

ทุกท่านทราบหรือไม่ว่า ผงน้ำตาลเกลือแร่ ORS ซองเล็ก ๆ สามารถช่วยชีวิตเด็กเล็กและมนุษย์นับล้านคนจากอาการท้องร่วงเฉียบพลัน โดยองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ได้ประมาณว่า ก่อนที่จะมีการใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ในการรักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วง พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ทั่วโลก จะเสียชีวิตราว 5 ล้านคนต่อปี แต่ภายหลังจากการใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่รักษา สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ปีละมากกว่า 3 ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากในการช่วยชีวิตผู้ป่วยจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่


ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของ ORS และเพื่อป้องกันการเสียชีวิตจากโรคท้องร่วงเฉียบพลันและการสูญเสียน้ำ จึงมีการสถาปนาวัน ORS โลก หรือ World ORS day ขึ้น ในวันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี


จากการทำ Market survey กับทั้งประชาชนและกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เช่น เภสัชกรหน้าร้านขายยา พบว่า อาการที่คนส่วนใหญ่จะมาร้านขายยาหรือไปโรงพยาบาล นอกจากจะมีไข้ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ ปวดท้อง อีกอาการที่มักจะพบบ่อยนั่นก็คือ อาการท้องร่วง และมักจะมีอาการควบคู่ เช่น มีไข้ อาเจียน หมดแรง อ่อนเพลีย ขาดน้ำ

หลาย ๆ คนมีคำถามและข้อสงสัยที่เกี่ยวกับอาการท้องร่วงดังกล่าวมากมาย ซึ่งเราได้รับเกียรติจาก รศ.พญ.วรนุช จงศรีสวัสดิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ หัวหน้าสาขาวิชาโรคทางเดินอาหารและตับ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกุมารแพทย์สาขาโรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาให้ความรู้ในครั้งนี้


 


Q : สาเหตุของโรคท้องร่วงเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง และอาการแสดงที่เรียกว่าโรคท้องร่วงคืออะไร ?


A : สาเหตุของอาการท้องร่วงเฉียบพลันในเด็ก โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการติดเชื้อ เนื่องจากในวัยเด็กเล็กมักจะเอามือหยิบอาหารหรือสิ่งของต่าง ๆ เข้าปากและไม่ได้ล้างมือให้สะอาด จึงมีโอกาสเกิดการติดเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร ทำให้เด็กมีอาการท้องร่วง ซึ่งเชื้อโรคที่ทำให้เกิดการอาการท้องร่วงจะมีหลายประเภท ถ้าเป็นเด็กที่อยู่ในเขตเมืองก็มักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสโรต้า ไวรัสโนโร่ หรืออาจจะเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนั้น อีกสาเหตุหนึ่งที่พบได้พอสมควรก็คือ ภาวะท้องร่วงจากการได้รับยาปฏิชีวนะ เนื่องจากยาปฏิชีวนะเข้าไปทำให้สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ผิดปกติจึงเกิดอาการท้องร่วงได้เช่นกัน


 


Q : แบบไหนถึงเรียกว่า “ท้องร่วง”?


A : การที่จะบอกว่าเป็น “ท้องร่วง” คือ การที่เด็กมีการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำมากกว่าวันละ 3 ครั้งขึ้นไป หรือถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดวันละ 1 ครั้ง ก็นับว่ามีอาการ “ท้องร่วง” แล้ว และผู้ป่วยที่มีภาวะท้องร่วงยังสามารถแบ่งกลุ่มได้อีก คือ ภาวะท้องร่วงแบบเฉียบพลัน (ระยะที่เริ่มมีอาการท้องร่วงจนกระทั่งหาย ไม่เกิน 7 วัน) เป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด และหากระยะเวลาท้องร่วงนานกว่า 7 วัน จะเรียกว่า ภาวะท้องร่วงยืดเยื้อ หรือท้องร่วงเรื้อรัง โดยสาเหตุอาจจะไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแล้ว ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุต่อไป


 


Q : โดยปกติผู้ที่มีอาการท้องร่วง จำเป็นต้องรับประทานยาหรือไม่?


A :  เวลาที่ (โดยเฉพาะเด็ก) มีภาวะท้องร่วงเฉียบพลัน อันตรายที่เกิดขึ้นก็คือ การสูญเสียน้ำและเกลือแร่ที่ออกไปกับอุจจาระ ที่เรียกว่า ภาวะขาดน้ำ การรักษาหลัก ๆ คือ การทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป โดยการกินสารละลายเกลือแร่หรือผงเกลือแร่ ซึ่งจริง ๆ แล้วผงเกลือแร่ ORS จะนับว่าเป็นยา เพราะสามารถรักษาอาการท้องร่วงเฉียบพลันได้ ส่วนยาประเภทอื่น ๆ ที่จะมาใช้ร่วมกับผงเกลือแร่ ORS จะต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป แต่ไม่มีความจำเป็นเท่ากับการใช้ผงเกลือแร่ ORS


 


Q : ผงเกลือแร่ ORS มีสรรพคุณหรือมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?


A : ดังที่กล่าวไปในตอนต้น เวลาที่มีอาการท้องร่วงเฉียบพลัน โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการติดเชื้อในลำไส้ ร่างกายจะมีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ออกไปทางอุจจาระ เนื่องจากเยื่อบุลำไส้ถูกทำลาย ดังนั้น หลักการใช้ผงเกลือแร่ ORS คือ ในสารละลายเกลือแร่จะต้องประกอบไปด้วยเกลือ (โซเดียม) น้ำตาลกลูโคส (ช่วยให้เยื่อบุลำไส้ดูดซึมโซเดียมกลับเข้าสู่ร่างกาย ช่วยแก้ไขภาวะการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ทางลำไส้ได้ นอกจากนี้ กลูโคสยังเป็นแหล่งพลังงานให้แก่เซลล์เยื่อบุลำไส้ได้ด้วย


 


Q : ผงเกลือแร่ ORS มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไรบ้าง?


A : การออกฤทธิ์ของผงเกลือแร่ ORS อย่างที่กล่าวไป อันดับแรกจะต้องมีกลูโคสที่เป็นน้ำตาลจะช่วยทำให้เซลล์เยื่อบุลำไส้สามารถดูดซึมกลับเข้าสู่ลำไส้ได้ เมื่อโซเดียมถูกดูดซึมกลับน้ำจะถูกดูดกลับตามมาด้วย นอกจากนี้ เวลาที่มีอาการท้องร่วงเฉียบพลัน เด็กจะไม่ได้สูญเสียแค่น้ำและโซเดียม แต่จะสูญเสียโพแทสเซียมและไบคาร์บอเนตซึ่งเป็นด่างออกไปด้วย ดังนั้น ถ้าเด็กมีอาการรุนแรงก็จะพบว่ามีภาวะเลือดเป็นกรดได้ ในผงเกลือแร่ ORS จะมีซิเตรทที่เป็นด่างให้แก่ร่างกายเพื่อช่วยแก้ไขภาวะเลือดเป็นกรดในร่างกายได้


 


Q : ผงเกลือแร่ ORS ในปัจจุบันที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาตอนนี้มีกี่รูปแบบ?


A : ผงเกลือแร่ ORS ที่มีจำหน่ายในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ได้แก่


1. Standard WHO ORS ขององค์การอนามัยโลก มีการผลิตออกจำหน่ายตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1975 โดยออกแบบมาเพื่อเอาไว้รักษาภาวะขาดน้ำในผู้ป่วยติดเชื้ออหิวาตกโรคที่มีการสูญเสียโซเดียมและน้ำออกทางอุจจาระปริมาณมาก  ดังนั้น เกลือโซเดียมกับกลูโคสที่อยู่ใน Standard WHO ORS จึงมีปริมาณสูง (โซเดียมมี 90 มิลลิโมล/ลิตร) ทำให้ความเข้มข้น หรือ osmolality ของสารละลายเกลือแร่ในรูปแบบนี้สูง (ประมาณ 311 มิลลิโมล/ลิตร)


ปัจจุบันผู้ป่วยเด็กไม่ได้มีการสูญเสียโซเดียมมากเท่าในอดีต โอกาสการติดเชื้ออหิวาตกโรคลดน้อยลงไปมาก แต่สาเหตุส่วนใหญ่จะเป็นการติดเชื้อในกลุ่มไวรัส ดังนั้น การใช้ Standard WHO ORS ในเด็กอาจทำให้ได้รับโซเดียมในปริมาณมากเกินความจำเป็น


สารละลายที่มี osmolality สูง หรือมีกลูโคสปริมาณสูง ข้อเสียคือ จะทำให้เกิดมีภาวะที่เรียกว่า osmotic diarrhea ได้ (กลูโคสจะดึงน้ำเข้าสู่โพรงลำไส้ ทำให้มีการสูญเสียน้ำทางอุจจาระ) จึงเป็นที่มาที่ทำให้องค์การอนามัยโลกมีการปรับสูตรของผงเกลือแร่เป็นสูตรใหม่เป็นสูตรที่ 2


2. Reduced osmolarity ORS เป็นสูตรที่มีการปรับลดปริมาณโซเดียมลง (จาก 90 เหลือเพียง 75 มิลลิโมล/ลิตร) และมีการปรับปริมาณกลูโคสลดลง ซึ่งมีผลการวิจัยที่ให้ข้อสรุปว่า สัดส่วนของปริมาณโซเดียมและกลูโคสที่เหมาะสมที่สุดในการช่วยดูดซึมโซเดียมและน้ำกลับเข้าสู่ร่างกาย คือ 1 : 1 ดังนั้น Reduced osmolarity ORS จึงมีโซเดียมในปริมาณเท่ากับกลูโคส คือ 75 มิลลิโมล/ลิตร


ข้อดีของการลดเกลือโซเดียมและกลูโคสลง ทำให้ osmolality ลดลงด้วย จึงเรียกว่า Reduced osmolarity ORS และเมื่อเด็กไม่ได้มีการสูญเสียโซเดียมในปริมาณมาก ถ้าใช้ hypotonic ORS ได้หรือไม่ คือลดโซเดียมลงไปอีกให้เหลือ 40-50 มิลลิโมล/ลิตร แต่จากข้อมูลงานวิจัย ถ้าเปรียบเทียบเรื่องของ hypotonic osmolality กับ reduce osmolality ORS ไม่ได้มีข้อแตกต่างกัน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับประชาชน องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำให้มี ORS เพียงแค่สูตรเดียว แต่สามารถรักษาได้ทุกคนในครอบครัว ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และทุกสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอหิวาตกโรคหรือจากไวรัส เพื่อป้องกันการสับสน


มีรายงานการวิจัยพบว่า RO-ORS ช่วยลดปริมาณอุจจาระ  ลดอาการอาเจียน และลดการรักษาด้วยสารน้ำทางหลอดเลือดดำ เมื่อเปรียบเทียบกับ ORS สูตรเดิม RO-ORS เป็นยาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับใช้ป้องกันและรักษาภาวะขาดน้ำในผู้ป่วยโรคท้องร่วงเฉียบพลันทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ช่วยลดโอกาสที่ผู้ป่วยต้องเข้ารักษาตัวในสถานพยาบาล รวมทั้งลดอัตราการเสียชีวิตได้


 


Q : ผงเกลือแร่กับเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือเครื่องดื่มผงอิเล็กโทรไลต์บรรจุขวดที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?


A : ในบรรดาเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาที่ใช้ป้องกันการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ทางเหงื่อ ไม่สามารถนำมาทดแทนการใช้ผงเกลือแร่ ORS ในการรักษาภาวะท้องร่วงเฉียบพลันได้ เนื่องจากในกลุ่มของเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาจะมีน้ำตาลในปริมาณสูงมาก และมีเกลือโซเดียมน้อยมาก อย่างที่กล่าวไปว่า มีงานวิจัยกล่าวว่า ปริมาณโซเดียมและกลูโคสจะต้องมีสัดส่วนเท่ากัน คือ 1 : 1 จึงจะมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการดูดซึมน้ำและโซเดียมกลับเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น ในกลุ่มเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาทั้งหลายหรือแม้กระทั่งน้ำอัดลมที่ผู้ปกครองเติมเกลือแล้วเอาให้เด็กดื่ม จึงไม่แนะนำให้ใช้ในเด็ก เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะมี osmolality สูงมาก ซึ่งเด็กจะทนกับเครื่องดื่มที่มี osmolality สูงไม่ได้ จะยิ่งทำให้เกิดอาการท้องร่วงและสูญเสียน้ำมากขึ้นไปอีก


 


Q : ใครบ้างที่สามารถรับประทานผงเกลือแร่ ORS ได้?


A : ผงเกลือแร่ ORS สามารถใช้ได้กับทุกคนในครอบครัวที่มีปัญหาท้องร่วงเฉียบพลัน แต่ในเด็กอาจจะมีความเฉพาะ เช่น เด็กที่ท้องร่วงที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อไวรัสอาจทำให้เกิดอาการอาเจียนร่วมด้วย โดยเฉพาะในช่วง 1-2 วันแรก เด็กจะอาเจียนมาก ดังนั้น การใช้ผงเกลือแร่ ORS ในช่วงวันแรก ๆ ในเด็กเล็กจะไม่เหมือนกับการใช้ในเด็กโต แนะนำให้ละลายผงเกลือแร่แล้วใช้ช้อนชาค่อย ๆ ตักป้อนเด็ก 1 ช้อน ทุก 2-3 นาที การป้อนช้า ๆ จะช่วยให้เด็กค่อย ๆ ยอมรับรสชาติของผงเกลือแร่ ORS และช่วยป้องกันการอาเจียน ไม่แนะนำให้ชงใส่ขวดแล้วให้เด็กดูดหรือชงใส่แก้วแล้วให้ดื่ม เนื่องจากเวลาที่เด็กมีอาการท้องร่วงเฉียบพลันจะกระหายน้ำมาก เด็กจะดูดน้ำอย่างรวดเร็ว แต่ในช่วงที่ป่วย กระเพาะอาหารของเด็กจะทำการย่อยผิดปกติ ถ้าเด็กดูดน้ำผสมผงเกลือแร่ ORS เข้าไปเร็วจะยิ่งอาเจียนมาก ถ้าป้อนแล้วเด็กอาเจียนอาจให้พัก 5-10 นาทีแล้วป้อนใหม่และช้าลง และช่วงนี้อาจจะยังไม่ต้องให้เด็กดื่มนมหรือกินข้าวก็ได้ แต่หลังจากแก้ไขภาวะขาดน้ำไปแล้วใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ควรให้เด็กกลับมาดื่มนมหรือรับประทานอาหารตามวัยให้เร็วที่สุด


 


Q : จำเป็นต้องคำนึงถึงอายุและน้ำหนักด้วยหรือไม่


A : การแก้ไขภาวะขาดน้ำจะมีสูตรการใช้โดยคำนวณตามน้ำหนักตัวของเด็ก คำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ คือ ลองให้ผงเกลือแร่ ORS แก่เด็กเองที่บ้านก่อนจะพามาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล โดยส่วนใหญ่จะให้ดูก่อนว่า ถ้าเด็กมีปากแห้งเล็กน้อย (ขาดน้ำในระดับเริ่มต้น) แนะนำให้ใช้ในปริมาณ 50-100 ซีซี.ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และค่อย ๆ ป้อนให้หมดใน 4 ชั่วโมง ถ้าสังเกตว่าเริ่มขาดน้ำมากขึ้น มีปากแห้ง เพลีย ตาลึกโหล (ขาดน้ำระดับปานกลาง) ให้เพิ่มปริมาณขึ้น 10 ซีซี.ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่ออุจจาระเหลวเป็นน้ำ 1 ครั้ง เพื่อทดแทนการขาดน้ำที่ยังสูญเสียต่อไป


การให้ผงเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำแต่ละครั้ง ไม่ควรเกิน 240 ซีซี. (หรือประมาณ 8 ออนซ์)


กรณีที่เด็กมีอาการรุนแรงมากกว่านี้  แนะนำให้พาเด็กไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพราะอาจจำเป็นต้องมีการให้สารน้ำทางหลอดเลือดเพิ่มด้วย


สาเหตุการติดเชื้อแล้วทำให้เกิดท้องร่วงในเด็ก ส่วนใหญ่จะเกิดจากไวรัส  จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะในเด็กทุกราย หรือแม้กระทั่งเชื้อแบคทีเรียบางชนิดก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ร่างกายของเด็กจะสามารถกำจัดเชื้อได้เอง ดังนั้น การรักษาหลักจึงมีเพียงการใช้ผงเกลือแร่ ORS


 


Q : ทารกที่กินนมแม่แล้วมีอาการท้องร่วงเกิดจากการติดเชื้อหรือไม่ หรือเกิดจากสาเหตุอื่น?


A : ส่วนใหญ่ทารกที่กินนมแม่โดยดูดจากเต้าของแม่มักจะไม่ค่อยพบปัญหาการติดเชื้อ แต่ที่เกิดการติดเชื้ออาจจะเกิดจากการปั๊มนมแม่แล้วใส่ขวดให้เด็กดูด ถ้าการทำความสะอาดจุกนมหรือขวดนมไม่ดีเพียงพออาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนได้


สำหรับการกินนมแม่แล้วมีอาการท้องเสียจากการขาดน้ำย่อย จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แม้กระทั่งเด็กที่มีการติดเชื้อไวรัสทำให้ลำไส้อักเสบ เยื่อบุลำไส้ถูกทำลาย เด็กอาจมีการพร่องน้ำย่อยแล็กเทสบ้าง แต่ในทารกที่กินนมแม่ไม่แนะนำให้หยุดนมแม่แล้วไปซื้อนมที่ปราศจากแล็กโทสมาให้ทารกกิน เพราะปกติเด็กทารกจะยังสามารถทนน้ำตาลแล็กโทสในนมแม่ได้ ยกเว้นในบางรายที่มีอาการท้องร่วงรุนแรงหรือขาดน้ำรุนแรง  จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลหรือหยุดนมแม่ชั่วคราว แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ส่วนใหญ่สามารถให้กินนมแม่ต่อไปได้


 


Q : การชงผงเกลือแร่ที่ถูกวิธีทำอย่างไร?


A : ตามปกติผงเกลือแร่ของแต่ละยี่ห้อจะมีบอกวิธีการชงตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้น ก่อนการชงควรอ่านที่ฉลากข้างซองบรรจุให้เข้าใจก่อน หลักการคือ หากชงแล้วต้องใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าเกินจากนี้ให้ทิ้งไปและใช้ซองใหม่


 


“ผงเกลือแร่ ORS ถือเป็นการรักษาหลักหรือการรักษาเดียวของผู้ป่วยที่มีภาวะท้องร่วงเฉียบพลัน การใช้ผงเกลือแร่ ORS เป็นยาเพียงอย่างเดียวก็สามารถรักษาโรคได้แล้ว ดังนั้น ทุกบ้านควรจะมีผงเกลือแร่ ORS ไว้ติดบ้าน เป็นยาสามัญประจำบ้าน ถ้ามีอาการท้องร่วงก็สามารถนำมาใช้ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์  เพราะในผู้ป่วยบางคนก็อาจมีภาวะขาดน้ำในระดับน้อย การใช้ผงเกลือแร่ ORS อย่างถูกต้องดังที่กล่าวข้างต้นก็สามารถช่วยรักษาและโรคก็จะหายเองได้อยู่แล้วภายใน 3-5 วัน ไม่จำเป็นต้องใช้ยาอื่นหรือไปพบแพทย์ เพียงแต่การให้ผงเกลือแร่ ORS ในเด็กที่มีการติดเชื้อไวรัส อาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วยใน 1-2 วันแรก การใช้จึงต้องมีความระมัดระวังเพื่อไม่ให้เด็กมีอาการอาเจียนเพิ่มขึ้น ถ้าเด็กยังอาเจียนก็อาจทำให้การใช้ผงเกลือแร่ ORS ไม่ได้ตามประสิทธิภาพ ต้องพาเด็กไปโรงพยาบาลหรือต้องมีการให้สารน้ำทางหลอดเลือด” รศ.พญ.วรนุช จงศรีสวัสดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

สรุป


ถ้ามีอาการท้องร่วง ควรต้องจิบผงเกลือแร่ ORS เท่านั้น ห้ามจิบเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย เพราะในเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายหรือเสียเหงื่อจะมีปริมาณน้ำตาลสูง และก่อนชงผงเกลือแร่ ORS ควรศึกษาสัดส่วนหรือวิธีการใช้ข้างซองให้ถูกต้อง ที่สำคัญคือ ควรผสมกับน้ำสะอาดแล้วค่อย ๆ จิบ และใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง หรือ 1 วัน หลังจากที่ชงแล้ว ดังนั้น อาจถือได้ว่า ผงเกลือแร่ ORS เป็นยาสามัญที่ทุกบ้านควรมีไว้ประจำบ้าน