เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

 



  • ผลกำไรจากการดำเนินงานสูงกว่า 575 ล้านยูโร สูงเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

  • ผลกำไรรวมทั้งปีของปีก่อนคิดเป็น 389 ล้านยูโร

  • อัตราการเติบโตคิดเป็นร้อยละ 23.1 สูงสุดเป็นประวัติการณ์

  • ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 คิดเป็น 11,316 คัน

  • ยอดขาย Bentayga ในปีที่หก เพิ่มขึ้นกว่า 9% จากปี 2564

  • เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส โตกว่า 25% ในสหราชอาณาจักร

  • อเมริกายังคงเป็นภูมิภาคที่มียอดขายสูงที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 7%

  • ภูมิภาคยุโรปและเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตเป็นเลขสองหลัก

  • ตัวเลขดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการลงทุนกว่า 3 พันล้านยูโร ณ โรงงานเมืองครูว์สำหรับแผนในอนาคต

  • ยอดขายสะท้อนความสำเร็จของกลยุทธ์ Beyond100 ของเบนท์ลีย์


 


(ครูว์ 2 พฤศจิกายน 2565) เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ประกาศผลกำไรจากการดำเนินงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 แม้จะมีความท้าทายและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง โดย เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ทำกำไรได้มากกว่า 2 เท่าด้วยผลกำไรกว่า 575 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 109% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งผลกำไรตลอดทั้งปีของปีที่แล้วคิดเป็น 389 ล้านยูโร โดยอัตราการเติบโตร้อยละ 23.1 นี้ ถือว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ 103 ปีของเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส



สำหรับยอดขายในปัจจุบันเพิ่มขึ้น 3% คิดเป็น 11,316 คัน ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นจาก 1,949 พันล้านยูโรในปี 2564 เป็น 2,490 พันล้านยูโรในปีนี้ คิดเป็นอัตราการเติบโต ร้อยละ 28


ความสำเร็จนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปิดตัวอัครยนตรกรรมรุ่นย่อยและตัวเลือกการปรับแต่งเฉพาะตัวที่มีให้เลือกสรรอย่างหลากหลายสำหรับ Bentley Mulliner ผู้ออกแบบตัวถังรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก


 


โดยได้รวมถึง Continental GT Mulliner ที่ทรงพลังและหรูหราที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเปิดตัวปเมื่อต้นปี พร้อมกับ Continental GT และ Flying Spur รุ่น S ใหม่ ที่เน้นประสิทธิภาพในการขับขี่และรูปลักษณ์ความสปอร์ต และ รุ่น Azure ที่เน้นความสะดวกสบายในการขับขี่และความผ่อนคลายภายในห้องโดยสาร


 


เบนท์ลีย์ได้ตอกย้ำความสำเร็จในการเปิดตัวอัครยนตรกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยอัครยนตรกรรมแบบเอสยูวี Bentayga ที่มีสัดส่วนยอดขายสูงที่สุดถึง 41% ขณะที่ Flying Spur มีสัดส่วนอยู่ที่ 27% โดยเป็นผลมาจากการเปิดตัวของเครื่องยนต์แบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ล้ำหน้าที่สุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งในส่วน Continental GT และ Continental GT Convertible มีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 32%


ยอดขายของเบนท์ลีย์เพิ่มขึ้นกว่า 18% ในยุโรปในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 หรือคิดเป็น 2,133 คัน สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักที่ร้อยละ 17 โดยในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 25% คิดเป็น 1,126 คัน ในขณะที่อเมริกายังคงเป็นภูมิภาคที่มีความแข็งแกร่งที่สุดด้วยตัวเลขยอดขาย 3,154 คัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 7%


 


รายงานตัวเลขล่าสุดเป็นผลมาจากกลยุทธ์ Beyond100 โดยเบนท์ลีย์พยายามที่จะคิดค้นแผนสำหรับอัครยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าในอนาคตเพื่อการบรรลุสถานะความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 ซึ่งรวมถึงแผนการลงทุนระยะยาวกว่า 10 ปีที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 3 พันล้านยูโร ณ โรงงานในเมืองครูว์


 


Adrian Hallmark ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส กล่าวว่า ในขณะที่เบนท์ลีย์ยังคงรับมือกับความท้าทายที่ต้องเผชิญในตลาดโลก ตัวเลขทางการเงินล่าสุดนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งของเราในเกือบทุกภูมิภาค


 


การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ต่อคันเป็นผลมาจากตัวเลือกการออกแบบที่หลากหลายและรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นที่รังสรรค์ขึ้นโดย Mulliner ผู้ผลิตตัวถังรถยนต์ของเบนท์ลีย์ และ การตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าที่มีต่ออัครยนตรกรรมรุ่นย่อยของเรา”


 


 


ผลประกอบการเงินไตรมาสที่ 3



























ผลประกอบการ



ไตรมาสที่ 3 ปี 2565



ไตรมาสที่ 3 ปี 2564



รายได้



2.490พันล้านยูโร (+28%)



1.949 billionพันล้านยูโร



ผลกำไร



575ล้านยูโร (+109%)



275ล้านยูโร



อัตราส่วนผลกำไร



23.1%



14.1%




 


ยอดขายไตรมาสที่ 3























































ภูมิภาค



ไตรมาสที่ 3 ปี 2565



ไตรมาสที่ 3 ปี 2564



ไตรมาสที่ 3 ปี 2565 (เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย)



อเมริกา



3,154 (+7%)



2,952



28%



สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง และ มาเก๊า



2,693 (-17%)



3,247



24%



ยุโรป



2,133 (+18%)



1,814



19%



เอเชียแปซิฟิก



1,531 (+17%)



1,304



13%



สหราชอาณาจักร



1,126 (+25%)



899



10%



ตะวันออกกลาง, แอฟริกา และ อินเดีย



679 (-5%)



718



6%



รวม



11,316 (+3%)



10,934



100%