ทุกวันนี้ เมื่อพูดถึงรถยนต์เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั้นถือว่าเป็นคีย์สำคัญของการพัฒนารถยนต์ในการเพิ่มมูลค่าให้รถยนต์นั้นมีสิ่งที่ดีมากขึ้น ทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบายหรือจะเป็นในเรื่องของความประหยัดเองก็ตาม เทคโนโลยีที่มากมาย ในทุกวันนี้ อาจจะทำให้หลายคนเชื่ออย่างสนิทใจว่า เทคโนโลยีก็หมายถึงสิ่งที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ทั้งที่จริงแล้ว มันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่พวกเราเข้าใจ เช่นเดียวกันอาจจะเป็นสิ่งทำให้ยากขึ้นต่อการใช้งานด้วย และวันนี้เราจะมาดุว่า 10 เทคโนโลยีไม่เข้าท่าในโลกยานยนตืกันเลยว่า จะมีอะไรบ้าง
อันดับที่ 10 เครื่องเสียงระบบสัมผัส ของ Chevrolet Volt
บางทีความล้ำหน้าไปก็ทำให้อะไรดูจะไม่ลงตัว อย่างเช่นเจ้ารถไฟฟ้า Chevrolet Volt นี้เองที่มันทำให้หลายคนต้องแปลกใจกับความไม่ลงตัวด้วยระบบความบันเทิงที่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ปุ่มแต่เป็นการสัมผัส ซึ่งเมื่อคุณแตะมันจะรับคำสั่งไปปฏิบัติตาม แต่ อย่าคิดว่ามันจะดูรู้สึกเหมือนคำพูด เพราะเอาเข้าจริงตอนแตะไปมันรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เหมือนเราสัมผัสหน้าจอโทรศัพท์ ที่ใช้กันจนชิน อาจจะเรียกว่าเป็นสิ่งเดียวที่ Volt ตกม้าตายก็ได้
อันดับที่ 9 เบรกมือไฟฟ้า
เราเริ่มเห็นมากขึ้นในรถยนต์อเมริกาตัวหรูกับเบรกมือไฟฟ้า ที่เริ่มติดตั้งมากขึ้น ข้อดีมันคือลดพื้นที่จากคันเบรกมือที่เอาไว้โยกกลายเป็นเพียงปุ่มที่ใช้นิ้วสะกิดก็เพียงพอต่อการใช้งาน แต่ที่จริงก็ไม่เข้าท่านัก เพราะ นัยหนึ่งของเบรกมือ มันคือเบรกฉุกเฉินด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญการขับขี่ทั่วโลกกล่าวว่า คุณจะมีโอกาสรอดสูงขึ้นถ้ารู้จักใช้เบรกมือในยามฉุกเฉิน และเมื่อมันเป็นเบรกไฟฟ้า การทำงานที่ช้าของมัน ก็ทำให้ไม่สามารถตอบสนองยามฉุกเฉินได้ดีเท่าที่ควรนัก แต่ก็จริงอยู่ว่ายามหน้าสิ่วหน้าขวานจะมีใครคิดถึงเจ้าคันโยกข้างตัวหรือไม่
อันดับที่ 8 สัญญาณเตือนวัตถุกีดขวาง
สัญญาณนี้มันก็คือการทำงานเดียวกับรูปแบบสัญญาณเตือนถอยจอดที่คอยกรี๊ดร้อง บี๊บๆ ตลอดเวลาที่มัน ทำงาน ช่วยบอกคุณว่า มันมีวัตถุ หรือใครทะลึ่งเดินตัดหลังรถคุณหรือไม่ ระบบสัญญาณนี้มีข้อดี แต่มันก็ทำให้เราขี้เกียจไปในตัว คุณจะเกิดการวางใจในตัวความไฮเทคมากเกินไป และท้ายที่สุด เมื่อมีความผิดพลาดกับระบบคุณจะไม่มีวันรู้ ดังนั้นอย่าเชื่อสัญญาณเหล่านี้มากไปนัก
อันดับที่ 7 เข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ
เราหลายคนอาจจะไม่เคยเจอเจ้าเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ แต่กาลครั้งหนึ่งนี่คือเทคโนโลยีที่เรียกว่าทันสมัยที่สุดในโลก ก่อนที่จะมีถุงลมนิรภัยด้วยซ้ำไป โดยระบบ จะทำการล็อคเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ โดยอาศัยการเปลี่ยนตำแหน่งของ จุดยึดในตัวรถ โดยรถในอเมริกา ช่วงปี 1980 บางรุ่นมีระบบนี้ แต่ท้ายที่สุด มันก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ เมื่อจากการศึกษาพบว่า รถที่มีระบบเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถทั่วไป จนกระทั่งท้ายที่สุดในช่วงปี 1984 ก็ได้ปลดระวางระบบนี้ออกไป หลังจากที่มีกฏให้ผู้ผลิตรถยนต์ในอเมริกาต้องติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอย่างน้อยสองระบบขึ้นไป ในรถที่วางจำหน่าย เมื่อประกอบกับความทันสมัยของถุงลมนิรภัยที่มีมากขึ้น มันจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
อันดับที่ 6 กระจกตัดแสงอัตโนมัติ
ทุกวันนี้รถทุกครั้งมาพร้อมกระจกตัดแสงเป็นมาตรฐาน แต่ว่าถึงจะมีแต่จะมีสักกี่คนที่ใช้มันจริงจัง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันมีให้ใช้งาน ดังนั้นค่ายรถยนต์บางเจ้าจึงคิดระบบที่ช่วยในการปรับกระจกให้มันตัดแสงอัตโนมัติขึ้นมา ข้อดีคือคุณไม่แม้แต่ต้องยื่นมือไปจับมัน ทว่าข้อเสียมันนั้นก็คือ มันจะรู้ใจคนขับได้อย่างไร เพราะ บางคนก็อาจจะคุ้นชินกับการขับรถที่ไม่มีกระจกแบบตัดแสง แถมไหนจะมีน้ำหนักเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าในตัวมันอีกต่างหาก และแน่นอนว่าราคาของมันนั้นก็ไม่ใช่ถูกๆเลย
อันดับที่ 5 อ่านแผนที่
คงไม่เคยมีใครสงสัยว่าทำไมในห้องโดยสารต้องมีไฟ แล้วเราดันเรียกมันอีกว่า "ไฟส่องอ่านแผนที่" ที่จริงมันมาจากวงการแข่งรถแรลลี่ เมื่อช่วงปี 1970 สมัยที่การนำทางยังต้องอาศัยแผนที่และรถแรลลี่ก็ต้องใช้มันในการขับขี่ ไปให้ถึงเส้นชัย นั่นทำให้ Hella เข้ามามีบทบาทโดยพวกเขาคิดชุดไฟที่สามารถติดตั้งไว้ที่กระจกมองหลัง และสามารถส่องสว่างโดยไม่รบกวนสายตานักขับ และมันก็หลายมาเป็นออพชั่นแต่งรถของ Mercury Capri ก่อนที่จะเริ่มฮิตต่อเนื่องจนมาเป็นมาตรฐานอย่างที่เราเห็นกันในวันนี้ ที่ไม่เข้าท่าคือเราแทบไม่เคยใช้งานมันตามจุดประสงค์ของมันที่แท้จริงในการส่องอ่านแผนที แต่กลับใช้มันให้ความปลอดภัยหรือหาของมากกว่า และที่จริง คุณแทบจะนับครั้งที่ไปเปิดเจ้าไฟนี้ที่มีมาให้เพื่อคิดราคาเพิ่มกับคุณ
อันดับที่ 4 ไฟหน้าปรับทิศทางได้
ในช่วงราวๆปี 2000 เราหลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องไฟหน้าที่สามารถเลี้ยวตามการขับขี่ของเราในโค้ง ซึ่งทำให้เราสามารถมองเห็นมุมอับได้ในยามค่ำคืน แน่นอนว่ามันย่อมฟังดูดีมีประโยชน์ แต่แล้วก็เริ่มหายไปแล้วแทนที่ด้วยไฟที่ส่องสว่างมากกว่าเดิม ไฟหน้าปรับทิศทางได้ มันไร้ซึ่งประโยชน์แถมยังหลายเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี เพราะว่า พวกมันนั้นอาจะทำให้คุณมองลำบากขึ้นด้วยซ้ำไป ที่จริงอาจจะเป็นเพราะเรากับคุ้นไฟธรรมดาที่หันตามโครงสร้างรถมากกว่า แต่ว่านอกจากมันดูยากกว่าเดิมแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สูงมากขึ้นด้วย
อันดับที่ 3 ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
ปัดน้ำฝนอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากในการช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ในยามฝนตกพรำๆ และทุกวันนี้เราก็มักจะเจอ ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติมากับรถหรูเสมอ ใช่พวกมันฟังดูดีทีเดียว อย่างน้อยสุดคุณก็ไม่ต้องเสียแคลอรี่ในการทำให้พวกมันทำงาน ทั้งที่จริงๆ ส่วนใหญ่ก็เพียงแตะก้านให้มันทำงาน ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก แต่ด้วยเหตุผลความปลอดภัยอะไรก็ตามระบบอัตโนมัติจึงเข้ามากลายเป็นจุดขาย ซึ่งก็ดีที่ให้ความสบายมากขึ้น แต่ระบบก็ยังประเมินไม่ถูกต้องเท่าเซนเซอร์มนุษย์ว่าเมื่อไรควรจะปัด บางทีแค่น้ำเพียงหยดเล็กๆ ถ้ามันอยู่ใกล้เซนเซอร์มากพอ มันก็จะปัดเอง ทั้งที่อาจจะยังไม่จำเป็นก็ได้
อันดับที่ 2 ไม่คาดเข็มขัดเครื่องยนต์ไม่ติด
อาจจะเรียกว่าเป็นไอเดียที่ดีสำหรับคนไม่ชอบคาดเข็มขัด แต่มันดันมาผิดที่ผิดเวลา เพราะ เทคโนโลยีนี้มีมาตั้งแต่ปี 1973 แล้ว โดยคิดค้นเพื่อป้องกันให้คนไม่ประมาทและคาดเข็มขัดมีการออกกฏในบางรัฐอย่าง มินิโซต้า ว่าให้ทำระบบที่ทำให้คนคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนสตาร์ท ซึ่งถ้าคุณไม่คาด รถก็จะสตาร์ทไม่ได้ ใช่แล้วมันฟังดูดีทีเดียวสำหรับแนวคิดแต่พวกเขาลืมไปว่า เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์สมัยนั้นไม่ได้วางใจได้เหมือนเครื่องยนต์หัวฉีดสมัยนี้ ทำให้บางครั้งคาดแล้ว สตาร์ทแล้วไม่ติด ยังไงต้องคาดใหม่สตาร์ทใหม่ หลายทีเข้ามันก็น่ารำคาญ แต่เอาจริงๆถ้านำกลับมาใช้ยุคนี้รับรองว่าเวิร์คกว่าแน่นอน
อันดับที่ 1 Paddle Shift กระดิกแล้วเปลี่ยน
น่าจะเป็นออพชั่นที่เราคุ้นหน้าตามากที่สุดเพราะรถยนต์หลายๆ รุ่นในปัจจุบันมีมันเป็นมาตรฐาน ซึ่งมันไม่ได้ไร้ค่าเสียทีเดียว เพียงแต่มันเชื่องช้าแม้จะมีการทำให้เกียร์ตอบสนองเร็วแล้วก็ตามแต่ท้ายที่สุด คุณก็จะพบว่ามันไม่เหมือนเกียร์ธรรมดาเสียทีเดียว ทำให้มันเป็นออพชั่นที่จะโดนใจก็ว่าไม่ใช่จะว่าใช้งานดีก็ไม่เชิง
จากทั้ง 10 อันดับ ของเราจะเห็นได้ชัดว่า เทคโนโลยีไม่ได้หมายถึงว่าพวกมันจะดีเสมอไปบางทีการพึ่งเทคโนโลยีมากเกินไป ก็ทำให้เราใช้ความสามารถของเราน้อยลง ดังนั้นจงอย่าดูถูกความสามารถของตัวเอง จงใช้มันให้ควบคุมพร้อมกับเทคโนโลยี