เว็บไซต์ "ออโต้ นิวส์" รายงานว่าโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จะเลื่อนการเปิดรถยนต์พริอุส เจเนอเรชั่นใหม่ไปสู่เดือนธันวาคมในปีหน้า จากการที่วิศวกรยังมีประเด็นที่ต้องแก้ไขทั้งในด้านโครงสร้างตัวรถ และระบบไฮบริดสำหรับรถรุ่นใหม่นี้ จากเดิมวางแผนที่จะเปิดพริอุสรถยนต์ไฮบริดเจเนอเรชั่นที่ 4 นี้ในฤดูใบไม้ผลิ
พริอุสรุ่นใหม่นี้มาในชื่อรหัสโมเดล คือ "690A" โดยก่อนหน้านี้วางแผนว่าจะใช้เวลาผลิตตัวโปรโตไทป์ออกมาในระยะเวลา 12 เดือน ก่อนที่จะผลิตรุ่นที่เป็นรุ่นก่อนผลิตจริงออกมา (Job 1) ซึ่งมีกำหนดการผลิตในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ และการผลิตรุ่นปลั๊กอินเวอร์ชั่น คาดว่าจะเริ่มในเดือนตุลาคม 2559 ซึ่งแผนการเปิดตัวที่ช้าไปกว่าครึ่ง
ปีนี้ แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยว่า เป็นผลมาจากการที่วิศวกรพยายามทำให้มั่นใจว่าการผลิตรถรุ่นนี้จะต้องประหยัด น้ำมันได้อย่างสูงสุด ที่เป็นไปได้ว่าอาจจะปรับปรุงด้านตัวถังและแชสซีอยู่
ซึ่ง ระบบไฮบริดใหม่นี้คาดว่าจะมีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งบริษัทตั้งเป้าว่าจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันให้ดีขึ้นกว่า เจเนอเรชั่นเดิมที่เปิดตัวในปี 2552 อย่างน้อย 10% และระบบไฮบริดใหม่นี้จะต้องสามารถนำไปใช้ได้กับรถยนต์ที่หลากหลาย ซึ่งพริอุสใหม่นี้จะล้ำหน้ากว่าพริอุส ซีในปัจจุบัน และมีมาตรฐานที่เทียบเคียงได้กับโตโยต้า คัมรี่
นายซาโตชิ โอกิโซ กรรมการบริหารด้านการวางแผนผลิตภัณฑ์ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว แต่ได้เปิดเผยกับเว็บไซต์ออโตโมทีฟ นิวส์เพียงว่า อยู่ในระหว่างการทดสอบด้านเทคโนโลยีและระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าการเปิดตัวพริอุสในครั้งนี้จะมาถูกทางและประสบความสำเร็จ ในตลาดรถไฮบริด นับตั้งแต่เปิดตัวรถไฮบริดมาในปี 2540 ทำให้โตโยต้าติดอันดับผู้ผลิตรถยนต์ไฮบริดที่ขายดีที่สุดในโลก
ในปี 2556 ที่ผ่านมา โตโยต้าสามารถขายรถยนต์ไฮบริดได้กว่า 1 ล้านคันทั่วโลก ซึ่งนั่นแสดงถึงวิสัยทัศน์ของบิ๊กบอสโตโยต้าอย่างนายอิกิโอะ โตโยดะ ที่มีกลยุทธ์ด้านการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดที่มาถูกทาง และการทำตลาดสำหรับรถยนต์โตโยต้ายุคใหม่นี้ ทีมวิศวกรก็ตั้งใจให้เป็นโมเดลที่สามารถแชร์การใช้ชิ้นส่วนร่วมกันได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพและลดต้นทุนสินค้าลง
ปัจจุบันรถยนต์ไฮบริดของโตโยต้าที่จำหน่ายในประเทศไทยนั้น ใช้ระบบไฮบริด ซินเนอร์ยีไดรฟ์ (Hybrid Synergy Drive) ระบบไฮบริดเต็มรูปแบบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในการขับ เคลื่อน โดยขณะออกตัวจะใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเท่านั้น ซึ่งช่วยลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิง และเมื่อลดความเร็วหรือแตะเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน เป็นการลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิง และพลังงานความร้อนที่ปกติจะสูญเสียไปจะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อชาร์จ ไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ สามารถช่วยลดมลพิษจากการปล่อยไอเสียด้วยการหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ในบาง จังหวะของการขับเคลื่อน