"ยามาฮ่า" เฮรับกฎหมายทดสอบรถใหม่นำเข้ารถสะดวกขึ้น ยันยังไม่ผลิตบิ๊กไบก์ในไทย เชื่อนำเข้าแข่งขันได้ ไม่หวั่นเข้าตลาดช้ากว่าคู่แข่ง พร้อมขนรถใหม่ 2-3 รุ่นสู้ ชูจุดเด่นรถสไตล์เรซซิ่งเจาะตลาดระดับราคา 3-5 แสนบาท
นายวีรพงษ์ ธนากิจจานนท์ ผู้จัดการส่วนพัฒนาธุรกิจรถนำเข้า บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายยามาฮ่ายังคงเน้นนำเข้ารถจักรยานยนต์มาจากต่างประเทศอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมี่ยมเนื่องจากยังไม่มีฐานผลิตในประเทศ ประกอบกับอัตราภาษีจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ที่ทำให้ลดลงต่อเนื่อง จากในปีที่ผ่านมา 16% ในปีนี้ก็จะลดลงเหลือ 11% และค่อย ๆ ลดลงเป็น 0% ในปี 2560 ซึ่งราคายังสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้
นายวีรพงษ์กล่าวว่า อีกจุดแข็งหนึ่งของยามาฮ่าคือ ในอนาคตประเทศไทยจะมีการปรับกฎหมายการทดสอบรถเพื่อนำมาขายในปี 2561 ที่ใช้ชื่อว่า WMTC Mode ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ยามาฮ่าในญี่ปุ่นใช้อยู่แล้ว ทำให้ในอนาคตการนำเข้ารถจักรยานยนต์จากญี่ปุ่นมาสู่ไทยทำได้สะดวกขึ้น
"ต้องยอมรับว่าวันนี้สถานการณ์ตลาดบิ๊กไบก์เปลี่ยนจากผู้เล่นหลายรายที่ผลิตในประเทศและลดราคาขายลงมา แต่สำหรับยามาฮ่าเรามีคีย์สำคัญคือการใช้มาตรฐานการทดสอบรถนำเข้าที่เราใช้ อยู่แล้ว และไทยกำลังจะเปลี่ยนไปใช้มาตรฐานนี้เช่นกัน ทำให้เราสามารถนำรถเข้ามาจำหน่ายได้ง่ายขึ้น" นายวีรพงษ์กล่าว
สำหรับปีนี้ บริษัทจะขยายโปรดักต์ไลน์ไปที่กลุ่มรถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์ระดับกลางคือระหว่าง 500-700 ซีซี หรือระดับราคาที่ระดับ 3-5 แสนบาทมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตรวดเร็ว กลุ่มลูกค้าที่เคยใช้รถจักรยานยนต์ทั่วไปเริ่มขยับมาใช้รถที่มีซีซีเพิ่มขึ้น หลังจากในปี 2557 บริษัทได้แนะนำรถจักรยานยนต์รุ่น YZF-R 15
และ SR 400 ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ที่เข้าไปเจาะตลาดใหม่ ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงรถจักรยานยนต์นำเข้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นบิ๊กไบก์ระดับบนที่มีเครื่องยนต์ ขนาดใหญ่ และระดับราคาค่อนข้างสูง จนถึงปัจจุบันมีสินค้าในตลาดรวมกว่า 12 รุ่น การขยายตลาดรถระดับ 500-800 ซีซีจึงน่าจะขยายตลาดได้อีกมาก
ในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 1,150 คัน หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดราว 7% ขณะที่ในปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มยอดขายเป็น 1,800 คัน จากการเปิดตัวรถใหม่รวมถึงขยายดีลเลอร์เน็ตเวิร์กให้ครอบคลุมลูกค้ามากขึ้น
นโยบายด้านผลิตภัณฑ์ปีนี้น่าจะมีรถใหม่อย่างน้อย 2-3 รุ่น เบื้องต้นจะเริ่มแนะนำรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่สไตล์เน็คเคท คือ เอ็มที-07 (MT-07) ภายในงานแบงค์ค็อก มอเตอร์ไบค์ เฟสติวัลที่จะจัดช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ โดยจะนำรถเข้ามาโชว์ก่อนจะเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 3 ของปี คาดว่าระดับราคาจะอยู่ที่ราว 3 แสนกลาง ๆ และมีโอกาสที่จะเปิดตัวอีกรุ่นภายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีอีก 1 รุ่นด้วย หากสามารถดำเนินการกับขอนำเข้าจากบริษัทแม่ได้สำเร็จ
ควบคู่ไปกับการเร่งขยายโชว์รูมและศูนย์บริการ โดยเริ่มต้นที่โชว์รูมในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการลงทุนของยามาฮ่าเองนั้น จะมีโชว์รูมใหญ่บนถนนเกษตร-นวมินทร์ ด้วยพื้นที่กว่า 1.5 ไร่ ด้วยงบฯลงทุน 300 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 นี้ และมีแนวโน้มที่จะเปิดใหม่ในกรุงเทพฯเพิ่มเติมอีกแห่งที่น่าจะใช้ทำเลย่าน ราชพฤกษ์เพื่อรองรับลูกค้าใกล้เคียง ส่วนในต่างจังหวัดนั้นโชว์รูมและศูนย์บริการจะเป็นของดีลเลอร์ทั้งหมด ซึ่งเดิมมีอยู่ 6 แห่ง ในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 8 แห่ง
โดยการจำหน่ายจะแบ่งอย่างชัดเจน คือยามาฮ่าสแควร์จะจำหน่ายเพียงรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก แต่สำหรับโชว์รูมบิ๊กไบก์ของยามาฮ่าจะจำหน่ายเฉพาะรถจักรยานยนต์ขนาด 500 ซีซีขึ้นไป หรืออาจจะเป็นรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กกว่า แต่เป็นรุ่นพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนกว่ารถจักรยานยนต์ขนาดเล็กทั่วไป
ขณะที่ภาพรวมตลาดบิ๊กไบก์ (รถจักรยานยนต์ขนาด 400 ซีซีขึ้นไป) ในปีที่ผ่านมานั้นมียอดขายรวม 16,700 คัน และในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 20,000 คัน และด้วยตลาดที่ยังมีอัตราการเติบโตทุกปีทำให้ตลาดไม่ได้มีการแข่งขันที่ รุนแรงมากนัก
ส่วนยามาฮ่าจะมุ่งเน้นทำตลาดด้วยกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ต การสนับสนุนคาร์คลับต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดทริปท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศสำหรับลูกค้า และยังมีการจัดอบรมทักษะการขับขี่ทุกเดือนสำหรับลูกค้าใน กทม. ส่วนในต่างจังหวัดดีลเลอร์ใดที่มียอดขายทุก ๆ 50 คันก็จะมีการจัดอบรมทักษะการขับขี่ 1 ครั้งด้วย