นโยบายจ่อขึ้นภาษีแอลพีจีภาคขนส่งพ่นพิษ ทำธุรกิจต่อเนื่องป่วนหนักมีผลทางจิตวิทยาแล้ว ล่าสุดเต็นท์รถมือสองอ่วม หวั่นรถติดแอลพีจีในสต๊อกเหลือ ขณะที่ราคาร่วงแล้ว 20% บางเต็นท์ไม่รับซื้อ บางเต็นท์ซื้อเข้ากดราคาหนัก ด้านสมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทยยื่นหนังสือคัดค้านต่อนายกฯ

นายวิทยา อนุชาชาญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิทอินเตอร์เทรด จำกัด เต็นท์รถมือสองย่านคลองตัน กล่าวว่า จากผลที่กระทรวงพลังงานออกมาประกาศว่า จะผลักดันให้มีการขึ้นภาษีแอลพีจีภาคขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษีสรรพสามิต โดยเก็บภาษีที่หัวจ่าย 4-5 บาทต่อลิตร ขึ้นภาษีป้ายรถยนต์ที่ใช้แอลพีจีภาคขนส่ง และขึ้นภาษีอุปกรณ์นำเข้าแก๊สแอลพีจี ก่อนหน้านี้ แม้จะยังไม่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ในเชิงจิตวิทยาก็ทำให้ผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสองได้รับผลกระทบแล้ว เนื่องจากเกือบทุกเต็นท์รถมือสองจะมีสต๊อกรถที่ติดตั้งแอลพีจี ที่ขายไม่ออก ขณะที่ราคาก็ปรับลดลงแล้วราว 10-20% ขึ้นอยู่ที่รุ่นรถ

"ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่มีข่าวเก็บภาษีรถแอลพีจีออกมา ทำให้ราคารถแอลพีจีปรับลดลงทันที บวกกับก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันลดลงด้วย ยิ่งเป็นการซ้ำเติมหนักยิ่งขึ้น สังเกตได้จากราคารถฟอร์จูนเนอร์ เครื่องยนต์เบนซิน ที่ติดตั้งก๊าซแอลพีจี ที่มีการประมูลรถมือสองในราคาต่ำกว่ารถฟอร์จูนเนอร์เครื่องยนต์ดีเซลทั้งที่เป็นรถปีเดียวกัน"

นายวิทยากล่าวว่าเต็นท์รถของบริษัท มีรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ปี2010 ขับเคลื่อน 4 ล้อ รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และติดก๊าซแอลพีจี รวมภาษีมูลค่าเพิ่มเคยซื้อเข้าเต็นท์ที่ราคา 7.5 แสนบาทต่อคัน ตอนนี้ราคาลงมาอยู่ที่ 6.5 แสนบาทต่อคัน

"ขณะนี้มีรถที่ติดก๊าซแอลพีจีค้างอยู่ในเต็นท์ราว 10% ที่จะกระทบทั้งหมด เพราะลูกค้าไม่สนใจซื้อ ในขณะที่การขายเข้าเต็นท์ก็ยากขึ้นบางเต็นท์ไม่รับซื้อ หรือถ้าจะรับซื้อเข้าเต็นท์ก็ถูกกดราคาลงอีก ยกตัวอย่าง รถเก๋งนั่งติดก๊าซแอลพีจี เครื่องยนต์เบนซิน เช่นโตโยต้า โคโรลล่า อัลติสปี 2010 ราคาซื้อเข้าเต็นท์ปกติเมื่อต้นปี 2558 ราคาอยู่ที่ 3.34 แสนบาทต่อคัน ตอนนี้ราคาลงมาอยู่ที่ 2.90-3.00 แสนบาทต่อคัน"

สอดคล้องกับที่นายมนต์ชัย นุชิต กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็ม เจ ออโต้ เต็นท์รถย่านเทพารักษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ในเต็นท์มีรถมือสองที่ติดก๊าซแอลพีจีอยู่ไม่ถึง 10% ที่ได้รับผลกระทบแล้วในเชิงจิตวิทยา แม้นโยบายดังกล่าวจะยังไม่ประกาศใช้ แต่ถ้าประกาศออกมาเป็นทางการจะมีผลกระทบกับสต๊อกที่มีอยู่ทั้งหมดโดยเฉพาะรถขนส่งที่เป็นปิกอัพตอนเดียว เช่น โตโยต้า วีโก้เครื่อง2700 เติมน้ำมันเบนซินและติดก๊าซแอลพีจี และมิตซูบิชิ ไทรทัน เครื่อง2400 ที่เติมน้ำมันเบนซินและติดก๊าซแอลพีจี จะกระทบทันที

"อย่างไรก็ตามทางเต็นท์ยังรับซื้อรถที่ติดก๊าซแอลพีจีอยู่ แต่ราคาจะถูกกดแน่นอนถึง 20% เพราะเราซื้อเข้าเต็นท์ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะไม่รู้ว่าจะขายออกได้ในราคาเท่าไหร่"

สำหรับความเคลื่อนไหวในธุรกิจก๊าซรถยนต์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม2558 นายสุรศักดิ์ นิตติวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย ได้เป็นตัวแทนผู้ประกอบการและสมาคม ยื่นหนังสือคัดค้านนโยบายการปรับขึ้นภาษี 3 ประเภทของรถยนต์ใช้ก๊าซแอลพีจี ของกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน โดยมีตัวแทนจากรัฐบาล พ.อ.คฑาวุธ ขจรกิตติยุทธ เป็นผู้รับเรื่องเพื่อส่งต่อไปยังนายกรัฐมนตรี โดยข้อเรียกร้องประกอบไปด้วย

1.การขึ้นภาษีสรรพสามิตแอลพีจี 5 บาทต่อลิตร จะทำให้ผู้ใช้รถแอลพีจีเดือดร้อน ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยประเมินว่าหากปรับขึ้นจริงๆค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของผู้บริโภคจะเพิ่ม 40% และมีความเสี่ยงที่ผู้ใช้แอลพีจีในครัวเรือนจะลักลอบขนถ่ายมาใช้ในภาคขนส่ง ซึ่งสิ่งที่จะเกิดตามมาคือ ความปลอดภัยในการขนถ่ายก๊าซ เพราะหากไม่มีอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานหรือไม่มีความรู้ความเข้าใจในการถ่ายแอลพีจีจากถังบ้านมาสู่ถังรถยนต์ ก็จะนำมาซึ่งอุบัติเหตุไฟไหม้ได้

2. การขึ้นภาษีป้ายรถแอลพีจี โดยสมาคมมองว่าแอลพีจี เป็นพลังงานทางเลือกเช่นเดียวกับเอทานอล, เอ็นจีวี ดังนั้นหากจะมีการเก็บภาษีไม่ควรเก็บตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นในตอนนี้อาจจะส่งผลในระยะยาว กล่าวคือรถยนต์ที่ติดตั้งแอลพีจีบางส่วน อาจจะตัดสินใจไม่ไปต่อภาษีป้ายเพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษีที่แพงขึ้น ทำให้รถคันดังกล่าวไม่ได้อยู่ในระบบของกรมขนส่ง ส่งผลให้รถคันดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงเพราะไม่ได้ตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆอาทิ ท่อแก๊ส, ถังแก๊ส ตรงจุดนี้เองสมาคมมองว่ารัฐบาลควรจะลดภาษีป้ายที่ใช้รถยนต์ประเภทเหล่านี้ด้วย เพราะช่วยลดมลภาวะ ไม่เพียงเท่านั้นควรจะให้การสนับสนุนต่างๆ อาทิ ฟรีค่าที่จอดรถ, สนับสนุนค่าติดตั้ง หรือลดภาษี ซึ่งมาตรการเหล่านี้ได้เห็นในต่างประเทศโดยเฉพาะแถบยุโรปที่มีการสนับสนุนการใช้แอลพีจีกันอย่างแพร่หลาย

3. การขึ้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์แอลพีจี สมาคมขอชี้แจงว่าสินค้าในกลุ่มธุรกิจนี้เป็นสินค้าที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ใช้รถ และช่วยเหลือประชาชน อีกทั้งยังลดปัญหามลภาวะเป็นพิษ โดยแต่เดิมการจัดเก็บภาษีประเภทนี้สำหรับแอลพีจีอยู่ที่ 10% ส่วนเอ็นจีวี ไม่มีการเรียกเก็บ ซึ่งมองว่าควรจะใช้วิธีเดียวกันกับเอ็นจีวี โดยปัจจุบันธุรกิจนี้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในตลาดประมาณ 3.9 พันล้านต่อเดือน หรือคิดเป็น 4.7 หมื่นล้านบาทต่อปี ดังนั้นหากไม่มีการทบทวนนโยบายใหม่นี้ก็จะกระทบกับเม็ดเงินในระบบรวมไปถึงแรงงานที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจนี้ที่มีมากกว่า 2.7 หมื่นตำแหน่ง

"ปัจจุบันเงินในกองทุนน้ำมันที่ได้มาจากกลุ่มแอลพีจีมีกว่า 5 พันล้านบาท ขณะที่รายได้จากส่วนอื่นๆที่ส่งเข้าไปมี 4 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าแอลพีจีส่งเงินให้กับรัฐเป็นจำนวนมาก และไม่ได้เข้าไปเบียดเบียนใคร จึงขอวิงวอนผ่านข้อเรียกร้องครั้งนี้ไปยังนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากภาครัฐฯต้องการข้อมูลด้านเท็จจริงด้านต่างๆเราก็พร้อมที่จะนำเสนอให้เห็นในทุกๆด้าน"

นายสุรชัย นิตติวัฒน์ อุปนายกสมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การยื่นเรื่องคัดค้านในครั้งนี้เป็นการรวมตัวของผู้ประกอบธุรกิจทั้งผู้ติดตั้ง,โรงงานผลิตอุปกรณ์, ท่อแก๊ส, วิศวกรผู้เซ็นใบอนุญาต, ผู้ค้าปลีก-ผู้ค้าส่ง จำนวนกว่า 200-300 ราย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายที่จะออกมา และในวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 จะมีเครือข่ายผู้ใช้งานมายื่นเรื่องเช่นเดียวกัน โดยหากภาครัฐฯไม่มีการพิจารณาใหม่ แนวทางของสมาคมอาจจะต้องมีการยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง ตามสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญในเรื่องการใช้พลังงานทางเลือกอย่างเป็นธรรม อย่างไรก็ตามยังคงเชื่อมั่นว่าภาครัฐฯน่าจะเห็นใจและกลับไปทบทวนนโยบายดังกล่าวใหม่อีกรอบ

จากการสำรวจผู้ประกอบธุรกิจติดตั้งก๊าซพบว่า สัดส่วนการติดตั้งแอลพีจีในปัจจุบันลดลงต่อเนื่อง จากเดิม 100% ก็ลดลงเหลือ 40% และเมื่อนโยบายใหม่ถูกนำเสนอออกมาเมื่อเดือนเมษายนก็ลดลงเหลือ 20% ขณะที่ราคาติดตั้งในอดีตตั้งแต่ปี 2554 เดิมเฉลี่ย 3 หมื่นบาท ตอนนี้ลดลงเฉลี่ย 1.8 - 2 หมื่นบาท ส่วนการติดตั้งเอ็นจีวี แม้จะไม่มีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบเท่ากับแอลพีจี แต่ก็พบว่ามีการชะลอตัว โดยเฉพาะในโรงงานขนาดใหญ่ที่มีการติดตั้งให้กับผู้ผลิตรถยนต์ ที่แต่เดิมเคยมีออร์เดอร์ 2 พันคัน ก็ลดลงเหลือ 200 คันเท่านั้น