หลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวหรือไปต่างจังหวัด หากใครไม่ได้ใช้รถสมบุกสมบันคงไม่เป็นไร แต่หากใครใช้งานหนัก ถ้าจำเป็นต้องตรวจเช็กแล้ว มาลองดูว่าจะต้องตรวจเช็กจุดไหนกันบ้าง
1.ตรวจสภาพรถ
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้ายและสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ของตัวรถ เพื่อแก้ไขได้ทันท่วงที อย่าลืมว่าช่วงที่ผ่านมาใช้งานมันหนักขนาดไหน บางคนขับลุยป่าลุยเขามาหลายๆ คันขับกันเป็นพันกิโลเมตร ของเหลวต่างๆ ย่อมเสื่อมประสิทธิภาพลงไป หากเปลี่ยนถ่ายได้ก็จะเป็นการดี เช่น พวกน้ำมันเครื่อง เป็นต้น
2.ตรวจสภาพยางรถ
ถึงแม้ยางรถยนต์ของคุณจะเป็นยางใหม่ก็ตาม ดอกยางยังไม่เสื่อม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดการบุบสลายของยาง ยิ่งรถที่วิ่งทางไกลและขับลุยเส้นทางโหดๆ ควรจะตรวจเช็กสภาพยางด้วย ดีไม่ดีอาจจะเห็นรอยลึก รอยปริแตก หรือไม่ก็เจอตะปูตำอยู่ก็เป็นได้
3.ตรวจเช็กระบบไฟ
ระบบไฟนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งตัวเอง ผู้โดยสารและผู้คนที่ใช้เส้นทางร่วมกับคุณ ควรตรวจเช็กมีความพร้อมดีหรือไม่ ทั้งไฟส่องทาง ไฟสูง ไฟต่ำ ไฟเลี้ยว ไฟเบรก
4.ตรวจเช็กระบบเบรก
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง รวมถึงผู้ใช้ถนนด้วยกัน ยิ่งคุณใช้งานหนักมาจากการเดินทางไกลด้วย ดังนั้นควรตรวจเช็กสภาพเบรกให้มีประสิทธิภาพ ถ้ารู้ว่าเบรกไม่ค่อยอยู่ก็ควรเข้าอู่หรือศูนย์ปรับตั้งเบรก หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าเบรกก็ต้องทำ
5.ตรวจเช็กหม้อน้ำ
น้ำในหม้อน้ำถือเป็นหัวใจสำคัญของรถ ยิ่งรถคุณมีอายุการใช้งานมากปีและขับขี่มาไกล ระดับน้ำในหม้อน้ำอาจหดหาย หรืออาจจะเกิดชำรุดที่หม้อน้ำ ก็อาจจะส่งผลเสียใหญ่ตามมา ดังนั้น นอกจากจะต้องตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำให้เป็นปกติแล้ว ต้องสำรวจสภาพหม้อน้ำ ท่อยาง เหล็กรัดท่อยาง ฝาหม้อน้ำด้วย ที่สำคัญควรตรวจเช็กระดับน้ำในหม้อน้ำเป็นประจำทุกวัน
6.ระบบอากาศ
เริ่มตั้งแต่ไส้กรองอากาศ ถอดมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย หากไส้กรองอากาศสกปรกมาก นอกจากจะทำให้เครื่องยนต์หลวม และยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากอีกด้วย รวมถึงการเช็กท่อยางดูดอากาศว่า มีรอยรั่วหรือชำรุดหรือไม่ หากรถคุณมีอินเตอร์และท่อยางอินเตอร์ก็ต้องตรวจดูด้วยว่าหลุดหลวมจุดใดบ้าง
เทคนิคการเช็กรถหลังจากเดินทางไกล เป็นเรื่องง่ายๆ สามารถจะนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง หากปฏิบัติสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณเกิดความปลอดภัย และประหยัดเงินในการดูแลบำรุงรักษารถยนต์ได้ด้วย