"บีโอไอ" ใจกว้างเปิดรับฟังเงื่อนไขทุกค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมอีโคคาร์เฟส 2 ย้ำนับชิ้นส่วนเป็นรถหนึ่งคันได้ ชี้ไม่ได้ทอดทิ้งผู้ประกอบการทั้งเก่าและใหม่ ส.ยานยนต์วอนพิจารณาให้ถี่ถ้วน ปลื้มเฟสแรกฟันยอดผลิตไปแล้ว 7.1 แสนคัน
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ กล่าวในงานสัมมนา "อีโคคาร์เฟส 2 สานฝันยานยนต์ไทยสู่ 3 ล้านคัน" ที่จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และจักรยานยนต์ไทย หรือ TAJA ว่า ขณะนี้มีค่ายรถยนต์รายใหม่สนใจจะเข้าร่วมลงทุนในโครงการอีโคคาร์เฟส 2 แล้วอย่างน้อย 2-3 ราย ซึ่งมีทั้งค่ายญี่ปุ่นและยุโรป ส่วนกลุ่มผู้ผลิตอีโคคาร์ 5 รายเดิมนั้นอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด ซึ่งคาดว่าภายในวันที่ 31 มีนาคม 2557 นั้น จะมีค่ายรถแสดงความสนใจออกมาเป็นจำนวนมาก
นายอุดมกล่าวว่า ความสำเร็จอีโคคาร์เฟส 1 ยิ่งใหญ่มากมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะมียอดผลิตอีโคคาร์อย่างน้อย 437,000 คัน แบ่งเป็นขายในประเทศ 248,000 คัน ส่งออก 189,000 คัน
สำหรับหลักเกณฑ์ของนโยบายดังกล่าว ซึ่งได้ประกาศออกไปแล้วนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้ ทั้งนี้ในส่วนของวิธีการปฏิบัติ ค่ายรถที่สนใจเข้าร่วมอาจจะเข้ามาร่วมหารือถึงวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ให้เข้ากับเงื่อนไข เช่น จำนวนการผลิตที่อาจจะนับไปถึงการผลิตเป็นจำนวนคัน ชิ้นส่วนซีเคดี รวมทั้งมูลค่าการผลิตชิ้นส่วนที่สามารถนำมานับเป็นรถยนต์หนึ่งคันได้ เพื่อปรับสภาพการทำงาน และเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน แต่ทั้งนี้ภาคเอกชนหรือค่ายรถยนต์ จะต้องรวมกลุ่มกันเข้ามาเพื่อหารือเจรจาถึงเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติ
"ตอนนี้เราพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อหาวิธีปฏิบัติร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่สนใจเข้าร่วมโครงการให้สามารถรวมกลุ่มกันเข้ามาหารือรายละเอียดต่าง ๆ รวมทั้งวิธีปฏิบัติเพื่อให้ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ทำงานร่วมกันโดยบรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง"
นายศุภรัตน์ศิริสุวรรณางกูร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และในฐานะประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงความสำเร็จโครงการ
อีโคคาร์ว่า ในเฟสแรกถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เห็นได้จากกำลังการผลิต ในปีแรกคือปี 2553 ที่มีกำลังการผลิต 59,000 คัน แบ่งเป็นการจำหน่ายในประเทศ 18,740 คัน ส่งออก 40,710 คัน และเพิ่มเป็น 157,000 คันในปี 2554 แบ่งเป็นการจำหน่ายในประเทศ 59,000 คัน ส่งออกราว 100,000 คัน
จนถึงปีที่ผ่านมามีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 258,969 คัน แบ่งเป็นการจำหน่ายในประเทศ 162,600 คัน และส่งเกือบ 96,369 คัน ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมียอดผลิตกว่า 437,000 คัน แบ่งเป็นตลาดการจำหน่ายในประเทศ 248,000 คัน ส่งออก 189,000 คัน ส่วนยอดขายในประเทศปีนี้ 10 เดือนแรกมียอดขายราว 140,000 คัน จากปีที่ผ่านมาทั้งปีมียอดขาย 160,000 คัน ซึ่งต้องพิจารณายอดขายจากช่วงเวลาที่เหลือของปีว่าจะทำให้มียอดขายเท่ากับปีที่ผ่านมาหรือไม่
ส่วนยอดผลิตตั้งแต่มีการผลิตอีโคคาร์ในปี2553 จนถึงเดือนตุลาคมปีนี้นั้น มียอดการผลิตอีโคคาร์กว่า 712,000 คัน แบ่งเป็นยอดขายในประเทศกว่า 369,000 คัน และส่งออกราว 400,000 คัน ทำให้อีโคคาร์มีสัดส่วนยอดขายในตลาดรถยนต์นั่งกว่า 24% โดยค่ายที่มีกำลังการผลิตสูงสุดคือ มิตซูบิชิ ที่มีสัดส่วนการผลิตเพื่อส่งออก 43% ของตลาด ส่วนค่ายที่มียอดขายสูงสุดในประเทศคือ นิสสัน ที่มีมาร์เก็ตแชร์ถึง 53% ของตลาดรวมซึ่งจากกำลังการผลิตอีโคคาร์ที่เพิ่มขึ้น คาดว่าการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยในปีนี้กำลังการผลิตรวมของบริษัทรถยนต์ทุกรายอยู่ที่ 2.81 ล้านคัน และคาดว่าหากสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่ในความสงบไปอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยน่าจะมียอดผลิตสูงถึง 3 ล้านคันภายใน 5 ปีนับจากนี้ทั้งนี้สิ่งที่ต้องจับตามองคือ ประเทศที่หันมาสนับสนุนโครงการการผลิตรถยนต์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับอีโคคาร์คือ อินโดนีเซียที่สนับสนุนการผลิตรถยนต์ โลว์คอสต์กรีนคาร์ (แอลซีจีซี) ที่มีราคาถูกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อม
ส่งออกจำหน่ายในประเทศสมาชิกอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย แต่ประเทศไทยก็มีความได้เปรียบเนื่องจากให้การสนับสนุนการผลิตอีโคคาร์ก่อน ประกอบกับในโครงการอีโคคาร์เฟส 2 นั้น ก็ได้กำหนดคุณสมบัติของตัวรถในด้านความประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และประธานสมาพันธ์อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอาเซียน กล่าวว่า การที่รัฐบาลประกาศส่งเสริมการลงทุนโครงการอีโคคาร์เฟส 2 ถือเป็นนโยบายที่ดี ในการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้มีความแข็งแกร่ง
เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไปยังภาครัฐ ถึงความพร้อมของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ 5 ค่ายแรกที่เข้าร่วมโครงการในเฟส 1 นั้นอาจจะมีความพร้อมต่อเงื่อนไขการลงทุนที่ต่างกันโดยเฉพาะนโยบายของแต่ละค่าย ทั้งเงินลงทุน, จำนวนการผลิต, สินค้า ให้รัฐพิจารณารายละเอียดตรงนี้ด้วย บางค่ายอาจจะมีสินค้าและความพร้อมเพื่อสอดรับกับโครงสร้างภาษีใหม่ในวันที่ 1 ม.ค. 2559 ทันทีหากเข้าร่วมโครงการ
สำหรับรายละเอียดของอีโคคาร์เฟส 2 ถือว่าค่อนข้างสาหัส โดยเฉพาะเงื่อนไข จำนวนการผลิต เงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมถึงระยะเวลาที่เหลื่อมล้ำกันระหว่างเฟส 1 และเฟส 2 ที่ถือว่าค่อนข้างน่าหนักใจสำหรับ 5 ค่ายแรก
สิ่งสำคัญรัฐบาลควรจะต้องมองอุปสรรค และต้องไม่ลืมว่า การออกนโยบายใด ๆ ออกมา จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจของนักลงทุน
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูมอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่ามิตซูบิชิ ยังไม่ได้ตัดสินใจกับอีโคคาร์เฟส 2 แต่อย่างใด กำลังพิจารณารายละเอียด
ทั้งนี้บริษัทได้ลงทุนเฟสแรกไปแล้วถึง 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงพอสมควร หากจะต้องมีการลงทุนใหม่ คงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน และมิตซูบิชิยังมีเวลาพอสมควรที่จะตัดสินใจเรื่องนี้
นางปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า อีซูซุยังคงเชื่อว่าแม้ว่าจะมีอีโคคาร์เฟส 2 ออกมานั้นก็จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดรถปิกอัพอย่างแน่นอน เพราะเป็นลูกค้าคนละกลุ่ม และยังคงมีการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยอีซูซุเชื่อว่าสัดส่วนการจำหน่ายรถในปีนี้ 50% ยังคงเป็นรถปิกอัพ
ด้านนายหวู่ ฮวน ประธานบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวถึงความสนใจและความพร้อมของบริษัทต่อโครงการอีโคคาร์ ว่าอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาวิเคราะห์ความพร้อมของสินค้าเพื่อเปรียบเทียบโอกาสและความเป็นไปได้ภายในวันที่่31 มี.ค.จะมีความชัดเจนออกมาจากเอ็มจี อย่างแน่นอน