Eco Car น่าใช้ในงาน มอเตอร์โชว์ 2020
รถยนต์ Eco Car นับว่าเป็นอีกหนึ่งเซ็กเม้นท์ที่ยังคงได้รับความสนใจ เพราะด้วยขนาดของตัวรถที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไปนัก ขับง่ายสะดวกสบายคล่องตัว เทคโนโลยีต่างๆรวมทั้งเครื่องยนต์ ก็จัดให้มาแบบไม่น้อยหน้าเซ็กเม้นท์อื่นๆ อีกทั้งราคาก็ยังสามารถจับต้องได้ง่ายอีกด้วย รถยนต์ Eco Car จึงเป็นอีกหนึ่งเซ็กเม้นท์ที่นิยมมากในปัจจุบัน
แน่นอนภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 นี้ แต่ละค่ายกก็ขนรถยนต์หลากหลายเซ็กเม้นท์มาให้เลือก รวมทั้งรถยนต์ Eco Car ด้วย ครั้งนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ TOP ECO CAR น่าใช้ใน มอเตอร์โชว์ 2020 นี้กัน รุ่นที่นำมาให้ชมเป็นรุ่นท็อปสุดทั้งหมด บทความนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณเลือกรถใหม่ได้ง่ายขึ้น
1. Honda City Turbo RS ( ราคา 739,000 บาท )
Honda City RS เป็นรุ่นท็อปสูงสุดของไลน์ มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED กระจังหน้าสีดำ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว กับกระจกมองข้างปรับ-พับด้วยไฟฟ้าครอบสีดำ, ระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา รวมถึงเสาอากาศครีบฉลาม ห้องโดยสารในรุ่น RS ให้เบาะนั่งหุ้มหนังสลับผ้าเย็บด้วยด้ายสีแดง Paddle Shift ให้ด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง พนักวางแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ กุญแจ Honda Smart Key พร้อมปุ่มสตาร์ท และระบบ Idle Stop ด้านความบันเทิงใส่หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay กับ Android Auto หรือจะเสียบ USB 2 ช่อง
ความปลอดภัย City รุ่นท็อปใส่ ถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 ตำแหน่ง ระบบควบคุมการทรงตัว VSA, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA, สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS, กล้องมองภาพขณะถอยหลังปรับได้ 3 ระดับ และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า
ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 3 สูบ VTEC TURBO ความจุ 1.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT และรองรับเชื้อเพลิงทางเลือก E20
2. Nissan Almera VL (ราคา 639,000 บาท )
Nissan Almera เจนเนเรชั่นที่ 2 รุ่นท็อปสุดมีชื่อว่า VL เป็นอีโคคาร์รุ่นท็อปราคาดีที่ออฟชั่นเพียบ จากไฟหน้า LED พร้อม Signature Light ไฟตัดหมอกคู่หน้า LED กระจังหน้าทรง V-Motion ไฟท้ายแบบ Signature Light พร้อมไฟเบรก LED กระจกมองข้างปรับ-พับด้วยไฟฟ้า ที่ปัดน้ำฝนแบบตั้งเวลาหน่วง และล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว
ห้องโดยสารภายในตกแต่งดูดีทีเดียวแผงแดชบอร์ดมีการหุ้มหนังสีขาวสัมผัสนุ่ม พวงมาลัยหุ้มหนังทรงท้ายตัดทรง D Shape เบาะผ้าสีทูโทนดำสลับขาวฝั่งคนขับปรับสูงต่ำได้ ระบบแอร์อัตโนมัติ มาตรวัดเรืองแสง Fine Vision Meter แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว พร้อมมาตรวัดแบบ Analogue หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบ Nissan Connect รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay กับ Android Auto รวมถึงบลูทูล และช่องเสียบ USB จำนวน 2 ช่อง ลำโพง 6 ตำแหน่ง
ความปลอดภัย ระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้า, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ, ระบบเตือนจุดอับสายตา, ระบบเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย และกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง ที่ช่วยให้การถอยจอดหรือขับผ่านทางแคบๆ เป็นอะไรที่สะดวกและมั่นใจ
เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 3 สูบ รหัส HRA0 ความจุ 1.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 5,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 152 นิวตัน-เมตร ที่ 2,400-4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT พร้อม D-Step Logic และเติมน้ำมันได้สูงสุดถึง E20
3. Mazda 2 XDL-XDL Sport ( ราคา 799,000 บาท )
มาสด้า 2 เป็นหนึ่งเดียวที่มีตัวเลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล ให้เลือก รุ่นท็อปสุดคือเครื่องยนต์ดีเซล แถมเมื่อไม่นานมานี้มาสด้า 2 ได้มีการปรับหน้าตาภายนอกภายในใหม่ ซึ่งในรุ่น XDL ซีดาน กับ XDL Sport แฮทช์แบ็ค มอบไฟหน้าโปรเจคเตอร์ LED ปรับระดับอัตโนมัติ ไฟท้าย กันชนหน้า-หลัง และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารดูหรูหรา มีการเปลี่ยนวัสดุแผงคอนโซลหน้า, แผงประตูด้านข้าง และเบาะนั่งดีไซน์ใหม่หุ้มด้วยหนังสีน้ำเงิน หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมปุ่ม Center Commander, ระบบ Mazda Connect รองรับ Apple CarPlay กับ Android Auto พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Active Driving Display, แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
ระบบความปลอดภัยติดตั้ง i-ACTIVSENSE ได้แก่ ระบบแจ้งเตือนรถในมุมอับสายตา, ระบบเตือนรถในมุมอับขณะถอยหลัง, กล้องมองภาพรอบคัน พร้อมเซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลัง ส่วนถุงลมนิรภัยมีเพียงคู่หน้าเท่านั้น และระบบเบรกต่างๆ รวมถึงออฟชั่นระบบควบคุมการทรงตัวกับป้องกันล้อหมุนฟรีมีเป็นมาตรฐาน
เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเช่นกัน และใส่ระบบ GVC Plus เพื่อช่วยให้การขับขี่มั่นใจในทุกเส้นทาง
4. Suzuki Ciaz RS ราคา ( 675,000 บาท )
Suzuki Ciaz RS มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมความหรูหรามากขึ้น ด้วยกันชนหน้า-หลัง กับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ LED พร้อมไฟหรี่ LED รวมถึงชุดแต่งสปอร์ตอันประกอบด้วยสเกิร์ตหน้า ข้าง หลัง และสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรก ภายในไม่ได้ปรับอะไรเหมือนกับภายนอก แต่มีการเพิ่มเบาะหุ้มหนัง กับหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay กับ Android Auto และระบบนำทาง, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และกุญแจ Keyless Entry พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
ระบบความปลอดภัยบน Ciaz มีถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบเบรก ABS/EBD เซ็นเซอร์ถอยหลัง และกล้องมองหลัง
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส K12B ความจุ 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ในรุ่น RS และเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ในรุ่น GL
5. Toyota Yaris, Yaris Ativ High ( ราคา 649,000 บาท )
Toyota Yaris กับ Yaris Ativ รุ่น High เรียกได้ว่าเป็นรถยนต์ที่ทำยอดขายสูงสุดในกลุ่มนี้เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความทนทาน ขายต่อง่าย อะไหล่ถูก แถมได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ โดยรุ่นใหม่มีไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อม LED Light Guiding เปิด-ปิดอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-Me-Home, ไฟlส่องสว่างตอนกลางวันแบบ LED พร้อมไฟตัดหมอกหน้า และเพิ่มแถบโครเมียม ตกแต่งกระจังหน้ากับกันชนหน้า
ภายในเบาะนั่งแบบสปอร์ตหุ้มหนังตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดง พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง แผงคอนโซลตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black ชุดมาตรวัดกับจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบสี TFT ขนาด 4.2 นิ้ว และกุญแจ Smart Entry พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start หน้าจอสัมผัส 6.7 นิ้ว เชื่อมต่อ USB กับบลูทูธได้ครบถ้วน กล้องมองภาพด้านหลัง, มาตรวัดเรืองแสง Optitron, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, เบาะนั่งด้านหลังปรับพับแยก 60:40
ระบบความปลอดภัยให้มาเหมือนกันหมดทุกรุ่น อาทิ ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบเสริมแรงเบรก BA และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที (เพิ่มขึ้นจากเดิม 6 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 109 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที (เพิ่มขึ้นจากเดิม 1 นิวตัน-เมตร) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม S-Mode กับระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติขณะติดไฟแดง Stop & Start System
6. Mitsubishi Mirage, Attarge GLS-LTD ( ราคา 619,000 และ 624,000 บาท )
Mitsubishi Mirage กับ Attarge รุ่น GLS-LTD มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Bi-LED ดีไซน์ใหม่พร้อมไฟ DRL LED กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยแถบสีแดง กันชนหน้าใหม่และไฟท้ายใหม่แบบ LED ที่ตกแต่งให้เป็นรูปตัว L กันชนท้ายใหม่ และล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 15 นิ้ว
ห้องโดยสารภายในปรับปรุงเล็กน้อย ตกแต่งด้วย Piano Black แล้วเพิ่มความสปอร์ตด้วยทริม Carbon Print ตามส่วนต่างๆ ในแง่ความสะดวกมีกระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ ระบบแอร์อัตโนมัติ ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย และกุญแจ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ มาตรวัดการขับขี่แบบ High Contrast พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่กับเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay/Android Auto ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียง SIRI และกล้องมองภาพด้านหลังเพื่อความปลอดภัยขณะถอยจอด
ความปลอดภัย ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมช่วยชะลอความเร็ว, ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งโดยไม่ตั้งใจ, ไฟ Welcome Light และ Coming Home Light, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบควบคุมการทรงตัว ASC, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA และระบบไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS
เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบเรียง ขนาด 1.2 ลิตร MIVEC ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมระบบช่วยดับเครื่องยนต์ขณะติดไฟแดง Auto Stop & Go
งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2020 มีตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม นี้ เมื่องทองธานี
ผู้แต่ง / แหล่งที่มา : www.rodweekly.com
ผู้บันทึก :
www.rodweekly.com
date : [ 17 ก.ค. 2563 ]
|